พาราสาวะถี
ในเมื่อยืนยันว่าสูตรการคำนวณส.ส.ที่กกต.จะใช้นั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว ตามคำบอกกล่าวของ แสวง บุญมี รองเลขาธิการกกต. ที่อ้างถึงสูตรซึ่งสำนักงานกกต.ชงส่งให้กรธ.พิจารณาและสนช.ประทับรับรองอีกกระทอก แล้วทำไมจึงต้องไปยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จนถูกตีตกหน้าแหก และทำให้สังคมค่อนขอด ไม่รู้จักคำว่าอำนาจหน้าที่ของตัวเองเชียวหรือ
อรชุน
ในเมื่อยืนยันว่าสูตรการคำนวณส.ส.ที่กกต.จะใช้นั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว ตามคำบอกกล่าวของ แสวง บุญมี รองเลขาธิการกกต. ที่อ้างถึงสูตรซึ่งสำนักงานกกต.ชงส่งให้กรธ.พิจารณาและสนช.ประทับรับรองอีกกระทอก แล้วทำไมจึงต้องไปยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จนถูกตีตกหน้าแหก และทำให้สังคมค่อนขอด ไม่รู้จักคำว่าอำนาจหน้าที่ของตัวเองเชียวหรือ
การจะอ้างว่าเพื่อไม่ให้พรรคการเมืองและบุคคลที่มีความเห็นไม่เหมือนกกต. ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิกกต.อีกต่อไปนั้น ถือเป็นเหตุผลที่เบาบางยิ่ง ความจริงเมื่อมีสูตรที่ชัดเจน และเป็นอำนาจเต็มของตัวเอง ก็ควรประกาศให้สังคมได้รับรู้และน่าจะต้องประกาศตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำไป ไม่ใช่มาออกอาการหลังเลือกตั้ง จนทำให้ผู้คนมองพฤติกรรมที่เป็นอยู่คืออาการลำเอียงของกรรมการที่จ้องจะช่วยพรรคใดพวกหนึ่งให้เข้าสู่อำนาจ
มากไปกว่านั้น เมื่อยืนยันว่ามีสูตรอยู่แล้ว ไม่เห็นที่จะต้องรีรออะไร ข้ออ้างที่ว่ากำลังเทียบเคียงกับสูตรต่าง ๆ อยู่เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมายยิ่งไปกันใหญ่ ก็ข้อกฎหมายที่ตัวเองกล่าวอ้างนั้นเป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่คณะผู้ยกร่างเขายกให้องค์กรอิสระที่ดูแลการเลือกตั้งด้วยงบประมาณมหาศาลกว่า 5,800 ล้านบาทจัดการได้เต็มที่และเด็ดขาด แต่กลับมีอาการแกว่ง แสดงออกจนคนหมู่มากยกมือไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าใครก็ตามถ้ามีคำถามเรื่องความเป็นกลางเสียแล้ว ทุกเรื่องที่ขยับจึงเต็มไปด้วยข้อกังขา
แม้แต่กรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เกิดเป็นประเด็นอีกว่าจะแจกใบส้มอันหมายถึงเจ้าตัวต้องหมดสิทธิลงสมัครเป็นเวลา 1 ปีและถูกดำเนินคดีอาญาตามมานั้น กกต.สามารถทำได้หรือไม่ แน่นอนว่าข่าวที่ควบคู่กันมาคือการลาออกของประธานคณะกรรมการไต่สวนกรณีดังกล่าวที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนั้นของกกต. นี่ก็เป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งแล้วว่า องคาพยพขององค์กรให้คุณให้โทษต่อการเลือกตั้ง มีปัญหากับกระบวนการตีความและบังคับใช้กฎหมาย
หรือถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็น่าจะเป็นประเด็นของกองแช่งที่ลงทุนปล่อยข่าว กดดันกกต.โดยการกระทำดังกล่าวหาได้เป็นผลร้ายกับตัวของคนที่ถูกตรวจสอบไม่ หากแต่วกกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรที่ตัวเองพยายามกดดันไปเสียฉิบ อย่างที่ ไพศาล พืชมงคล ว่า กระแสที่กดดันให้กกต.แจกใบส้มแก่ธนาธรนั้น เป็นแรงกดดันเพราะหลงผิดทางกฎหมาย
โดยมีการอธิบายว่า การแจกใบส้มจะทำได้สำหรับ 2 กรณีเท่านั้นคือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งกระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง ไม่ใช่เรื่องกรณีขาดคุณสมบัติ และใช้กับผู้สมัครส.ส.เขต ที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขต เป็นผู้ตั้งเรื่องกล่าวหา ไม่ใช่กรณีของผู้สมัครแบบปาร์ตี้ลิสต์ ไปอ่านดูกฎหมายกันให้ดี เพราะถ้ารุ่มร่ามตรงนี้ไม่เพียงแต่แจกใบส้มไม่ได้แต่จะผิดกฎหมายด้วย
สอดรับกับความเห็นของ สมชัย ศรีสุทธิยากร ที่สะกิดเตือนกกต.ด้วยความหวังดีว่า เรื่องของธนาธรถ้าไม่พิจารณากันให้รอบคอบอาจจะมีความผิดตามมาด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม อดีตกกต.ชายเดี่ยวก็ได้ชี้ช่องให้เห็นถึงความพยายามในการแจกใบส้มและโยงให้เห็นภาพว่า ปลายทางที่กกต.จะลงโทษธนาธรได้นั้นเป็นอย่างไร แม้ ปิยบุตร แสงกนกกุล ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตาม ตรงนี้มุมของอดีตนักวิชาการด้านกฎหมาย อาจจะสู้มุมของคนที่ผ่านกระบวนการการตีความเพื่อผลอย่างหนึ่งอย่างใดมาแล้วไม่ได้แน่
น่าคิดตรงที่ว่าธนาธรถูกกล่าวหาเรื่องลักษณะต้องห้ามเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. แล้วมันจะมีเหตุใดทำไปสู่การเล่นงานพรรคอนาคตใหม่ได้ทั้งยวง สมชัยอธิบายว่าเรื่องคุณสมบัติเป็นเพียงปฐมเหตุที่นำไปสู่การใช้มาตรา 132 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม แปลง่าย ๆ ว่า ธนาธรไม่มีสิทธิสมัครด้วยคุณสมบัติแต่ยังลง และความนิยมที่มีต่อธนาธรที่มีคุณสมบัติต้องห้าม นำไปสู่การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม
แม้จะโยงยาวหน่อยก็พยายามจะโยง การพยายามให้ใบส้มแก่ธนาธร จึงสืบเนื่องจากมาตรา 132 นี้ เพียงแค่ใช้มาตรา 42(3) เป็นปฐมบท คิดไกลต่อไป หากธนาธรไม่มีสิทธิลง และคะแนนของอนาคตใหม่ทั้งหมดมาจากความนิยมต่อธนาธร นั่นหมายความถึงว่าพรรคอนาคตใหม่จะมีปัญหาต่อคะแนนนิยมที่ได้ เพราะจะมีประเด็นต่อว่า ทุกคะแนนของอนาคตใหม่ได้มาโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มากไปกว่านั้น นี่จะเป็นมูลเหตุนำไปสู่การยุบพรรคได้
ไม่ใช่คิดเองเออเอง เพราะมีคำอธิบายจากว่าที่ส.ว.ลากตั้ง เสรี สุวรรณภานนท์ ตามกฎหมายเลือกตั้งส.ส.มาตรา 132 วรรคแรกบัญญัติว่า ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งหากกกต.เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการอันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม คือการปกปิดหรือไม่แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องคุณลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ประกอบกฎหมายเลือกตั้งส.ส.มาตรา 42
เช่นนี้ กกต.มีอำนาจสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครที่กระทำการดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่กกต.มีคำสั่งได้ หากเป็นการกระทำของหัวหน้าพรรคหรือคณะกรรมการบริหารพรรคด้วยแล้ว ให้กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคนั้นได้ด้วย ตามมาตรา 132 วรรคสาม และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นด้วย และยังอาจถูกดำเนินคดีอาญาตามวรรค 5 อีกด้วย
การแบไต๋ให้เห็นมุมข้อกฎหมายแบบนี้ น่าที่จะพอคาดเดาปลายทางของเรื่องนี้ได้ไม่ยากว่าจะจบลงอย่างไร หรือมันจะเป็นอย่างที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แสดงความปรารถนาดี ทั้งธนาธรและปิยบุตรไม่มีโอกาสแม้แต่จะนั่งหรือยืน หนทางเดียวในตอนนี้คือต้องวิ่งไม่หยุด หากล้มเมื่อไหร่มันยากที่จะมีโอกาสลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เช่นนั้นที่ เกษียร เตชะพีระ ได้เขียนบทความบอกว่าฝ่ายอำนาจนิยมทำทุกทางเพื่อรักษาวันวานน่าจะจริง “เขาต้องทำลายพรุ่งนี้เพื่อเมื่อวาน เพื่อที่เมื่อวานจะดำรงคงอยู่ชั่วกัลปาวสาน”