พาราสาวะถีอรชุน
น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งจากท่าทีที่ประกาศกร้าวว่า“มีเบื้องหลัง” มาถึงวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับเปลี่ยนท่วงทำนองความรู้สึกที่มีต่อนักศึกษา 14 คนซึ่งถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็น “ห่วงใย” พร้อมเชื่อว่านักศึกษาเหล่านั้น “เป็นผู้บริสุทธิ์” เหตุใดจึงพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนั้น คาดเดากันไม่อยาก เพราะแรงกระเพื่อมที่ปรากฏทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ
น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งจากท่าทีที่ประกาศกร้าวว่า“มีเบื้องหลัง” มาถึงวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับเปลี่ยนท่วงทำนองความรู้สึกที่มีต่อนักศึกษา 14 คนซึ่งถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็น “ห่วงใย” พร้อมเชื่อว่านักศึกษาเหล่านั้น “เป็นผู้บริสุทธิ์” เหตุใดจึงพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนั้น คาดเดากันไม่อยาก เพราะแรงกระเพื่อมที่ปรากฏทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ
เหตุที่น้ำหนักของการกล่าวหาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ในประเด็นที่ว่ามีกลุ่มการเมืองหนุนหลังไม่ได้รับการสนับสนุนแม้กระทั่งจากบรรดากองเชียร์ของคณะยึดอำนาจ นั่นเป็นเพราะ นักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่าดาวดิน เป็นกลุ่มกิจกรรมที่ดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากการกระทำของฝ่ายรัฐมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
อันจะเห็นได้จากการไปรวมตัวกันที่จังหวัดขอนแก่นเพื่อให้กำลังใจนักศึกษากลุ่มนี้ของชาวบ้านจากจังหวัดเลยและขอนแก่น ขณะที่นักศึกษาอีกส่วนหนึ่งก็เป็นแนวร่วมอันสำคัญของทั้งม็อบระบอบสนธิ-จำลองและกปปส. นั่นหมายความว่า คนกลุ่มนี้ก็ไม่เอาระบอบทักษิณ ดังนั้น ที่จะโยนบาปไปให้ว่ามีเบื้องหลังอันหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร พร้อมลิ่วล้อและลามไปถึงคนเสื้อแดงในนามนปช. จึงกลายเป็นมุขแป้ก
ส่วนที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อุตส่าห์ออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีของนักศึกษา โดยวิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญ (ในการเล่นเกมการเมือง) ว่า มีทั้งนักศึกษาที่บริสุทธิ์และพวกที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยมาหากิน ก็ต้องย้อนถามกลับไปว่า ใครกันแน่ที่ชอบใช้วิธีการเหล่านั้น ทั้งพวกที่อยู่เบื้องหลังม็อบกปปส.และพวกที่ไม่ชอบลงเลือกตั้งตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยใช่หรือไม่
ยังคงไม่ทิ้งคราบของความเป็นพวกชอบสร้างวาทกรรม หวังเอาดีเข้าตัว ถ้าจะพูดถึงพวกที่หากินกับระบอบประชาธิปไตย จริงๆ ก็น่าจะหมายรวมไปถึงพวกที่ไปปาแฟ้มใส่ประธานสภา ทุ่มเก้าอี้ในห้องประชุม แสดงปฏิกิริยาป่าเถื่อน โดยหัวหน้าพรรคและผู้หลักผู้ใหญ่จอมหลักการทั้งหลายที่อ้างว่ายึดมั่นระบบรัฐสภา ไม่แยแส นั่นน่าจะเป็นพวกคนที่ควรจะละอายใจมากกว่า
สำหรับกลุ่มนักศึกษาที่ถูกจับกุมแล้ว นอกจากแนวร่วมสำคัญคือ เครือข่ายนักศึกษาผู้รักประชาธิปไตยที่ยังคงจัดกิจกรรมต่อเนื่อง อาจารย์ทั้งหลายที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเยี่ยมให้กำลังใจลูกศิษย์ถึงในคุก กองหนุนที่สำคัญคงเป็นพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นนั่นเอง เพราะแทนที่คนเหล่านั้นจะห้ามปรามบุตรหลานแต่กลับยกย่องในคุณงามความดีที่เด็กๆ ได้สร้างไว้
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องลุกขึ้นมาสู้พร้อมกับกลุ่มเด็กๆ คงเป็นเพราะการถูกคุกคาม การบุกไปถึงบ้าน พร้อมๆ วลีที่เจ็บปวด“สอนลูกหลานอย่างไรให้ไปต้านคสช.” ไม่รู้ว่าองค์รัฏฐาธิปัตย์รับทราบพฤติกรรมของฝ่ายความมั่นคงในลักษณะนี้หรือไม่ ถ้ารู้ก็แสดงว่า นี่เป็นสัญญาณอันตรายของการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ทำให้ภาพลักษณ์ของการเดินตามโรดแม็พคืนประชาธิปไตยห่างไกลออกไปทุกที
แรงกระเพื่อมอันเนื่องมาจากการจับกุม 14 นักศึกษานั้น น่าจะมีข้อยุติในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่พนักงานสอบสวนขอฝากขังต่อศาลผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ดังนั้น ฝ่ายรัฐจึงต้องหาหนทางเพื่อให้ปัญหายุติโดยเร็ว ทางออกของเรื่องนี้มีอยู่แค่ 3 แนวทางแต่มีเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้นที่น่าจะทำได้ นั่นก็คือ รัฐบาลขอยื่นประกันตัวนักศึกษาทั้งหมด
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะ แนวทางแรกคือ การให้นักศึกษาขอยื่นประกันตัว เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการมากที่สุด เพราะจะช่วยลดแรงกดดันต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่หนทางนี้คงไม่เกิดขึ้นเพราะนักศึกษาทั้งหมดได้ปฏิเสธตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ขอยื่นประกันตัว ด้วยเหตุผลว่า ไม่ได้ทำความผิดกฎหมายใดๆ ที่สำคัญคือ ไม่ยอมรับอำนาจของศาลทหาร
ขณะที่แนวทางต่อมาคือ การปล่อยตัวกลุ่มนักศึกษาแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งก็เป็นเรื่องยากเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลคสช.จะเดินตามแนวทางนี้ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำลายความชอบธรรมของศาลทหารที่ถือเป็นหลังพิงให้กับคสช.มาตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกันหากเลือกแนวทางนี้ก็เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองและทำลายกำแพงความหวาดกลัวที่ฝ่ายยึดครองอำนาจสร้างขึ้นมาให้กับคนทั่วไปเข็ดขยาดหายวับไปในทันที
ดังนั้น แนวทางที่แสดงออกถึงความเมตตาไม่ถือสาหาความเด็กด้วยการยื่นขอประกันตัวให้ แม้ผู้ต้องขังจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม น่าจะเป็นทางออกที่เนติบริกรมองเห็นว่าสวยงามที่สุด แต่คงขึ้นอยู่กับนักศึกษาทั้ง 14 คนว่าจะตัดสินเลือกรับความหวังดีต่อการคืนอิสรภาพชั่วคราวให้หรือไม่ แน่นอนว่า หากมีการอนุญาตให้ประกันตัวย่อมพ่วงด้วยเงื่อนไขตามมาอีกพะเรอเกวียน
ด้วยแนวทางเช่นนี้จึงมองว่าเป็นเหมือนการต้อนกลุ่มนักศึกษาให้เข้ามุม เพราะแม้จะไม่ยอมรับการประกันตัว แต่ก็จะเดินเข้าคุกโดยไม่มีคำสั่งของศาลก็ไม่ได้ แต่ในยามที่ได้ก้าวเดินมาถึงขนาดนี้ จึงเชื่อว่าถึงเวลานั้น นักศึกษาทั้ง 14 คนคงไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากได้จุดประกาย ล้มความหวาดกลัวต่างๆ ของผู้รักประชาธิปไตยลงไปแล้ว
แม้ว่าทั้ง 14 คนจะติดเงื่อนไขไม่สามารถเคลื่อนไหวใดๆ ได้ แต่แนวร่วมคนอื่นๆ ยังคงมีพลังที่จะขับเคลื่อนเพื่อถามหาความชอบธรรม รวมไปถึงการร่วมทำกิจกรรมกับชาวบ้านผู้ได้รับความเดือดร้อน เพราะเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ที่ปราศจากเบื้องหลังใดๆ ย่อมไม่มีอำนาจใดมาทำลายล้างได้ พลังหนุนที่ว่านี้น่าจะสัมผัสได้ในการเดินทางมาศาลของกลุ่มนักศึกษาในวันพรุ่งนี้
ส่วนพวกที่กล่าวหานักศึกษากลุ่มนี้ไว้ก่อนหน้า โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าอดีตคนเดือนตุลาฯ บางราย น่าจะไปหาปี๊บมาคลุมหัวหรือทางที่ดีน่าจะได้ประกาศให้สังคมรับรู้ไปเลยว่า สิ่งที่เคยกระทำในอดีตนั้น แท้ที่จริงแล้วหาใช่อุดมการณ์อะไรไม่ เพียงแค่แห่แหนไปตามกระแส ถ้ากล้ายอมรับความจริงว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ก้นบึ้งของหัวใจนั้นคือการฝักใฝ่เผด็จการไม่ใช่สานต่อแนวทางประชาธิปไตย คนจะได้เข้าใจและให้อภัย จะได้ไม่ต้องมาเสียคนตอนแก่