สงครามยังไม่จบ

คืนวันศุกร์ของไทยแต่เป็นวันของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ถือเป็นวันนรกแตกหรือสวรรค์กลับตาลปัตรก็ได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงเข้าข่ายที่นักลงทุนในตลาดเก็งกำไรทั่วโลกยังต้องถือคติว่า “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร”


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

คืนวันศุกร์ของไทยแต่เป็นวันของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ถือเป็นวันนรกแตกหรือสวรรค์กลับตาลปัตรก็ได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงเข้าข่ายที่นักลงทุนในตลาดเก็งกำไรทั่วโลกยังต้องถือคติว่า “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร”

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการที่ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดนิวยอร์กปิดบวกกว่า 114 จุด ผันผวนวันเดียวมากกว่า 460 จุด ปิดเหนือ 25,900 จุดได้ เป็นแค่อารมณ์ชั่วครู่ยามตามสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น เรื่องยังมีตอนต่ออีกโดยไม่รู้ฉากจบของเรื่อง

เมื่อวันศุกร์เปิดตลาดนาทีแรกดาวโจนส์ร่วงลงไปกว่า 200 จุด เพราะมาตรการของสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีนจาก 10% เป็น 25% เป็นวงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท มีผลบังคับทำให้ทรัมป์มีอำนาจต่อรองในการเจรจามากขึ้น รีบทวิตเตอร์ว่าคณะเจรจาสงครามการค้าฝ่ายสหรัฐฯ ไม่ต้องเร่งเจรจาก็ได้เพราะมีแต้มต่อเหนือกว่า

เมื่อเปิดตลาดไปสองชั่วโมงดาวโจนส์ลบไปกว่า 350 จุด ทำท่าหลุดใต้แนวรับจิตวิทยา 25,500 จุดแน่ แต่พอถึงเที่ยงวันดาวโจนส์เด้งดึ๋งมาสู่แดนบวก เมื่อสัญญาณออกมาจากนายมนูชินและนายโรเบิร์ตไลธีเซอร์ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่ออกมาถ่ายภาพยิ้มแย้มและจับมือกับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน และหัวหน้าคณะเจรจาการค้าของจีน ขณะที่เดินทางออกจากสำนักงาน USTR ซึ่งเป็นสถานที่จัดการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

ดัชนีกลับสู่แดนบวกเพราะนักลงทุนยังคงมีความหวังว่าสหรัฐฯ และจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในที่สุด แม้ข่าวจะออกมาว่ายังไม่สามารถบรรลุผลได้ทันที โดยสหรัฐให้เวลาจีน 1 เดือน

การพลิกผันดังกล่าวไม่สะท้อนข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพราะมีรายงานข่าวตามมาว่าการเจรจายังมีท่าทีชะงักงันเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพียงแต่ท่าทีที่ออกมาทั้งสองฝั่งคือไม่ต้องการเร่งกระพือสถานการณ์ให้ร้อนแรงมากขึ้น ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือมีเครื่องมือใหม่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว

ทางฝั่งสหรัฐฯ มีข่าวว่าในการเจรจามีการให้เวลาจีนไม่เกิน 1 เดือนเพื่อสรุปบรรลุการเจรจา หากไม่สำเร็จจะมีมาตรการเพิ่มภาษีนำเข้ารายการสินค้านำเข้าจากจีน “ทุกรายการ” ตามมาโดยรายละเอียดจะเปิดเผยในวันจันทร์นี้เพื่อเพิ่มแรงกดดันแก่จีน

ในขณะที่ท่าทีของทางจีนนั้นยังคงมีลักษณะ “อ่อนนอกแข็งใน” ต่อไป แต่ดูเหมือนว่ามีข่าวเชิงลึกจากจีนที่ทำให้สายเหยี่ยวในทีมทรัมป์หวาดหวั่นคือสายเหยี่ยวจีนในจงหนานไห่เริ่มมีอำนาจชนิด “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ต่อสงครามการค้าในอนาคตอันใกล้และไกลและพร้อมจะสู้กับสหรัฐฯ ในทุกกรณีไม่ว่าจะสรุปผลออกมาหน้าไหน

เหตุผลเบื้องลึกที่มีนักวิเคราะห์ในฮ่องกงระบุเอาไว้ว่าเกิดจากสัญญาณแรงจากคณะกรรมการโปลิตบูโรครั้งล่าสุดของจีน มองว่าจะไม่มีทางยอมถอยให้กับสหรัฐฯ ในสงครามนี้อีก หลังจากที่ถือว่าถอยจนสุดทางแล้วจากการหารือระหว่างสหรัฐฯ-จีนเมื่อการประชุม G-20 เมื่อสองเดือนก่อน

ครั้งนั้นจีนและสหรัฐอเมริกาได้รับการยอมรับในข้อพิพาททางการค้าตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ จะต้องใช้สินค้าจีนมูลค่า 50 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภาษีศุลกากร 25% ในการประมูลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยทรัมป์ประกาศใน Twitter โพสต์ว่าเขาจะชะลอการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 1 มีนาคม ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้อ้างถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าซ้ำแล้วซ้ำอีก และเสนอการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีจีนเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้าแลกกับการที่จีนมีแผนสำหรับการทุ่มเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ

ท่าทีแข็งกร้าวของจีนที่ทำให้ตัวแทนสหรัฐฯ ต้องคิดหนักคือคณะกรรมการโปลิตบูโรจีน มองว่าสงครามการค้าที่จะบรรลุต้องไม่ส่งผลเสียหายต่อ “ยุทธ์ศาสตร์แห่งอนาคต” ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือยุทธศาสตร์ Belt and Road ที่เริ่มเดินหน้าไปบางส่วนแล้ว

การที่จีนดูเบาและออกมาระบุว่าพร้อมยอมรับความเป็นไปได้ของการเจรจาการค้า (รวมทั้งผลของความล้มเหลว) เพราะจีนมองว่า 1) จีนยังมีทุนสำรองมากพอรับมือกับผลเสียหายระยะสั้นของสงครามการค้าที่อาจยืดเยื้อ 2) จีนมีการลงทุนด้านอื่น ๆ เพื่อรองรับการสร้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นทางเลือกชดเชยความเสียหายจากการส่งออกที่อาจจะเกิดขึ้น

นักวิเคราะห์ในฮ่องกงหลายสำนักระบุว่าจีนรอได้จนถึงก่อนเดือนตุลาคมปีนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเจรจาการค้าเพราะต้องการให้มีข่าวดีฉลองครบรอบ 70 ปี ของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป้าหมายของจีนนั้นเท่ากับกดดันทรัมป์ เนื่องจากหากเป็นช่วงเวลาดังกล่าว ทรัมป์อาจจะไม่มีสิทธิได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคในการสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง

ท่าทีหมูไม่กลัวน้ำร้อนของทีมเจรจาการค้าจีนในยามนี้ ส่งสัญญาณให้สหรัฐฯ ทราบว่าความสำเร็จหรือล้มเหลวของการเจรจาการค้าในทัศนะของจีนยามนี้เป็น “เผือกร้อน” ของทรัมป์ไม่ใช่ของจีน

ทรัมป์และทีมอาจคิดถูกในเรื่องกลยุทธ์การต่อรองเจรจา แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ตกเป็นรองเลย

เกม “ช้างประสานงา” ระหว่างมหาอำนาจชั้นนำของโลกนี้ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกจำต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของดาวโจนส์ไปอีกนานพอสมควร โดยเฉพาะตลาดหุ้นขนาดเล็กรวมทั้งไทยด้วย

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจของตลาดหุ้นไทยภายใต้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจากนี้ไป (นอกเหนือจากเรื่องตั้งรัฐบาลใหม่ที่วางแนวทางน้ำเน่าชัดเจนไว้แล้ว) คือ 1) กระแสฟันด์โฟลว์ที่มียอดสะสมขายสุทธิ 5 เดือนแรกล่าสุด 1.8 หมื่นล้านบาท แสดงว่ายังไม่กลับมา 2) ค่าบาทเทียบดอลลาร์คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาแข็งมากในรอบเดือนจนน่าตระหนก แสดงว่าสัปดาห์นี้โอกาสที่ดัชนี SET จะท้าทายแนวต้าน 1,700 จุด ระลอกใหม่ยังเป็นไปได้อย่างย้อนแย้งกัน

ทั้งนี้ มีข้อแม้เดียวว่าสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนจะไม่ปะทุลุกลามเพิ่มเติมขึ้นกว่าที่เป็นอยู่และผ่านมา

Back to top button