พาราสาวะถีอรชุน
ย้อนกลับไปฟังเสียงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พูดถึง 14 นักศึกษาที่ถูกคุมขังแล้วถอดรหัสน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.บอกว่า “กลุ่มนักศึกษานั้น ผมจะไม่ไปตำหนิเขา เพราะไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ผมก็ถือว่าเขาเป็นพลังบริสุทธิ์ ซึ่งน่าที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านนี้เมืองนี้ได้อีกมากในอนาคต”
ย้อนกลับไปฟังเสียงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พูดถึง 14 นักศึกษาที่ถูกคุมขังแล้วถอดรหัสน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.บอกว่า “กลุ่มนักศึกษานั้น ผมจะไม่ไปตำหนิเขา เพราะไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ผมก็ถือว่าเขาเป็นพลังบริสุทธิ์ ซึ่งน่าที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านนี้เมืองนี้ได้อีกมากในอนาคต”
แต่ก็มีทิ้งติ่งไว้ตามประสาผู้ถือครองอำนาจ “ขอให้ใช้ในระยะเวลาที่ถูกต้อง อย่าไปเชื่อมั่นว่าใครมาบิดเบือน ใครมาสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ ผมไม่เคยปฏิเสธคำว่าประชาธิปไตย ไม่เคยปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่ในการเลือกตั้งหรือในการมีประชาธิปไตยที่ผ่านมามีปัญหา ก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้ก่อน“
ประโยคสุดท้ายของบิ๊กตู่ที่ต้องเผชิญกับคำถามทั่วสารทิศ การแก้ปัญหาการเลือกตั้งและประชาธิปไตยที่อ้างว่ามีปัญหานั้น ท่านใช้กระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ แน่นอนว่าด้วยกฎหมายพิเศษ การดำเนินคดีโดยใช้ศาลทหาร ย่อมเป็นเรื่องไม่ปกติธรรมดา ขณะที่กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เวลานี้อยู่ในระหว่างแก้ไขตามคำร้องขอของส่วนต่างๆ ก็เห็นแล้วว่า มีเจตนาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ในงานเสวนา “เมื่อเสรีภาพถูกฆาตกรรม” ซึ่งจัดขึ้นที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อวันวาน พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ได้ฉายภาพของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาทั้ง 14 คนได้อย่างน่าสนใจ ประการแรกมุมมองของผู้มีอำนาจต่อผู้ปกครองของนักศึกษา มีความพยายามจำกัดความคิดของผู้ปกครองของนักศึกษาว่าควรจะเลี้ยงลูกให้ดีและเชื่อฟังโดยไม่ต่อต้านคสช.
ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริง สังคมยุคใหม่หรืออาจจะเรียกได้ว่า สังคมโลกนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ลักษณะครอบครัวความสัมพันธ์การอบรมเลี้ยงดูก็เปลี่ยนไป พ่อแม่หันมาฟังลูกมากขึ้นมีความเป็นเพื่อนกันมากขึ้นและไม่อาจบังคับได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป แต่ความเคารพนับถือนั้นยังคงมีอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่า คนเป็นผู้ใหญ่ต้องหัดเปิดใจให้กว้าง ไม่ใช่ยึดถือว่าคนที่แก่กว่าต้องถูกเสมอเหมือนที่ผ่านมา
แต่สิ่งสำคัญมากกว่าปมเรื่องของพ่อแม่เด็ก 14 คนก็คือ ความพยายามของการรัฐประหารในการจัดการทางกฎหมาย ไม่ง่ายที่จะทำให้คนเข้าใจตรงกัน การนำศาลทหารมาใช้ดำเนินคดีกับพลเรือน ทั้งที่เป็นกระบวนการปกติที่ใช้กับทหารเท่านั้น โดยหวังที่จะทำให้เกิดความชอบธรรมทางกฎหมาย แต่ลืมไปว่าความชอบธรรมดังว่านั้นจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายด้วย
อีกประการหนึ่งในการให้ความเห็นกรณีคุมขังนักศึกษาจากนายทหารระดับสูงในคสช. อาจารย์พิชญ์ตั้งข้อสังเกตว่า บิ๊กตู่และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ค่อนข้างให้ความเห็นที่นุ่มนวลกว่านายทหารคนอื่นที่อยู่ใต้บังคับบัญชา จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่ามุมมองต่อการใช้อำนาจรัฐกำลังเป็นไปในทิศทางใด คงไม่ใช่เรื่องการแยกกันแสดงบทบาทแน่นอน
อย่างที่บอกไปวันวาน แรงกระเพื่อมจากการจับกุมนักศึกษารอบนี้ไม่ธรรมดา เหมือนอย่างที่พิชญ์มองว่า “กรณีนักศึกษาเสมือนเป็นตาน้ำเล็กๆ ที่กำลังจะกลายเป็นสายน้ำซึ่งใหญ่กว่า 5 สายหรือไม่ไม่อาจทราบได้ ส่วนแม่น้ำ 5 สายที่พยายามขุดกันมาด้วยเงินภาษีประชาชนยังไม่ทราบว่าจะไหลไปสู่ที่ใด แต่นักศึกษากำลังรับผิดชอบจากการใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขาถ้าใครเห็นด้วยกับพวกเขาก็ออกไปร่วมกับเขา “ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องออกไป”
ถือเป็นการชี้ชวนที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ต้องไม่ลืมกันก็คือ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ถูกจับกุม ไม่ใช่แนวร่วมที่สนับสนุนระบอบทักษิณ ส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำไปที่เคลื่อนไหวล้มรัฐบาลนอมินีของ ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้น การรวมตัวกันจึงเป็นเรื่องของอุดมการณ์ล้วนๆ ส่วนที่ยังมีความพยายามยัดเยียดข้อกล่าวหาเรื่องมีผู้อยู่เบื้องหลังนั้น ต้องแสดงหลักฐานให้ชัดเจน
ไม่ใช่การอ้างแหล่งข่าวการข่าวแล้วสรุปว่า มีความเชื่อมโยงกันมายาวนาน เพราะนั่นถือเป็นบทสรุปที่มักง่ายเกินไป จะอธิบายอย่างไรต่อความสัมพันธ์ของนักศึกษาส่วนหนึ่งกับม็อบระบอบสนธิ-จำลอง ส่วนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับม็อบกปปส. หรืออีกส่วนหนึ่งที่ทำงานช่วยเหลือชาวบ้านซึ่งอาจจะถูกมองว่าสนับสนุนระบอบทักษิณ เช่นนี้จะถือว่ามีเบื้องหลังอย่างนั้นหรือ
วันนี้จึงมีเพียงข้อกล่าวหา ความพยายามที่จะสร้างรอยด่างให้เห็นว่า พลังบริสุทธิ์นั้นไม่บริสุทธิ์ ขณะเดียวกันก็พยายามจะแสดงออกถึงความมีน้ำใจประสาผู้ใหญ่ใจดี เหมือนอย่างที่ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบกประกาศกร้าว ไม่ปล่อยตัว 14 นักศึกษาแน่นอน เพราะเกรงว่าจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง แต่กลับบอกว่าจะพิจารณาใช้กฎหมายเยาวชนเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา
ฟังดูแล้วคงเข้ากันไม่ได้ ระหว่างการกระทำความผิดกฎหมายอาญาที่ผู้มีอำนาจถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง มีข้อหาร้ายแรง แล้วใช้กฎหมายเยาวชนมาเพื่อผ่อนปรน จะอ้างเหตุผลใด มองมุมไหนมันก็ไม่สมเหตุสมผล แต่ในยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสั่งการได้ทุกอย่าง เรื่องของความเหมาะสมนั้นอาจไม่จำเป็นต้องพูดถึง
เดิมทีเคยบอกว่าแนวทางที่น่าจะออกมาในวันนี้คือ มีการยื่นขอประกันตัวให้นักศึกษาโดยรัฐบาล แต่พอได้ฟังคำพูดของผบ.ทบ.แล้ว เชื่อได้เลยว่า คงจะมีการฝากขังต่อไปแน่นอน ที่เหลือค่อยไปว่ากันในภายหลัง ส่วนกลุ่มนักศึกษาทั้ง 14 คนก็ไม่ได้หวั่นไหวต่อในกรณีดังกล่าว โดยมีการเสนอให้ทนายความส่งเรื่องขอให้ศาลทหารเปิดพิจารณาคดีแบบสาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้อย่างทั่วถึงด้วย
บทสรุปสำหรับกลุ่มนักศึกษาทั้ง 14 คน คงเป็นเหมือน ยุกติ มุกดาวิจิตร ว่าไว้ ต้องคารวะจากใจจริงถึงความกล้าหาญจริงจังของพวกคุณ พวกคุณแสดงออกซึ่งโครงสร้างอารมณ์ของยุคสมัยอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง อย่างที่แม่ของพวกคุณคนหนึ่งบอกกล่าวว่า “พวกเขาก็เป็นผลผลิตของสังคมในยุค 10 ปีที่ผ่านมานั่นแหละ” นั่นก็คือ พวกคุณได้สื่อถึงความห่วงใยต่ออนาคตของสังคมไทยที่พวกคุณจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อไปให้สังคมได้รับรู้แล้ว