หรือจะต่ำกว่า 1,600 จุด
เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เพิ่งจะเขียนเรื่อง
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เพิ่งจะเขียนเรื่อง
ดัชนีว่าอาจจะต่ำกว่า 1,600 จุด
ผ่านมาถึงตอนนี้สงสัยจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
อย่างสัปดาห์ที่แล้วดัชนีปิดตลาดปรับลงทุกวันเลยนะ
บางวันเปิดกระโดด
แต่สุดท้ายแล้ว ปิดในแดนลบ
ก็ไม่รู้ว่ามีใครลากไปปล่อยของหรือไม่ หรือว่านักลงทุนพอได้กำไรนิดหน่อย ซัก 1-2 ช่องก็สาดกันแล้ว
สถานการณ์สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างมาก
เมือสัปดาปีที่แล้ว ดัชนีปิดตลาดปรับลงทุกวันเลยนะ
หากย้อนกลับไปสองสัปดาห์ ก็จะพบว่า ในช่วง 10 วันทำการของตลาดหุ้น หุ้นปิดปรับลงถึง 9 วัน และบวกเพียง 1 วัน (+1.98 จุด)
หรือสรุปง่าย ๆ ในรอบ10 วันทำการที่ว่านี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลงมาแล้ว 4.23%
ในด้านของสัญญาณทางเทคนิค ถูกมองว่าเข้าเขตขายมากเกินไป
แต่อย่างว่าล่ะ
ในช่วงที่ปัจจัยลบรุมเร้าแบบนี้ และมาทั้งจากต่างประเทศ เทรดวอร์ และการเมืองในประเทศที่เลือกตั้งกันมาเกือบ 2 เดือนแล้ว แต่ยังจัดตั้งรัฐบาลกันไม่ได้
ความมั่นใจนักลงทุนย่อมหายครับ
ประกอบกับหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น GULF RATCH และ EA เริ่มมีแรงขายทำกำไรกันออก หลังจากก่อนหน้านี้วิ่งขึ้นกันมาสนุกสนาน
ส่วนกลุ่มน้ำมันยังเคลื่อนไหวไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
กลยุทธ์ตีหัวเข้าบ้าน รบแบบกองโจรคือทางออกที่ดีสุด สำหรับนักลงทุนระยะสั้น
ส่วนนักลงทุนระยะยาว มีเงินถุงเงินถัง ก็เป็นโอกาสเข้าเก็บหุ้น
เพราะมีหุ้นหลาย ๆ ตัว พื้นฐานดี ราคาเริ่มลงมาลึกเกินไป
นักวิเคราะห์มากกว่า 2-3 โบรก ฯ ออกมาให้มุมมองแล้วว่า หากปัจจัยเทรดวอร์ยังยืดเยื้อ การเมืองในประเทศยังฝุ่นตลบ ทำให้มีโอกาสสูงมากที่ดัชนีจะต่ำกว่า 1,600 จุด
สัปดาห์นี้ หลายโบรก ฯ มองว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะต่ำกว่า 1,600 จุด
แนวรับสำคัญคือ 1,590 จุด และให้ระวังหุ้นในกลุ่ม Global play
แต่ส่วนตัวผมว่า หุ้นในกลุ่ม Domestic play ต่างรับมือกับแรงขายไม่ไหวเช่นกัน แม้เทรดวอร์จะไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบโดยตรงก็เหอะ
ทว่า เรื่องการเมืองอาจจะส่งผลลบอย่างมีนัยสำคัญได้
บล.กสิกรไทย เขามองดัชนีที่ปรับลงในรอบนี้แบบนี้ครับ
คือ มีโอกาสที่ดัชนีจะลงไปลึกมาก และจะ 1,500 จุดกันเลยล่ะ
เหตุการณ์นี้ อาจจะได้เห็นในไตรมาส 2 นี้กันเลย
หรืออย่างช้า อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้
เว้นแต่เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะคลี่คลายลงจากปัจจุบัน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นพลิกฟื้นได้
แต่นักวิเคราะห์ยังมองว่า หากดัชนีลงมาที่ระดับ 1,500 จุด จริงๆ
เราจะเริ่มเห็นการซื้อกลับ เพราะพี/อี จะลงมาเหลือเพียง 13.2 เท่า และเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ราคาหลายตัวมีราคาถูกมาก
เชื่อว่าผ่านมาถึงตอนนี้ นักลงทุนหลายคนน่าจะติดหุ้นกันอยู่เยอะ
สังเกตุได้จากเวลาผมจัดรายการ “แก็งสี่โมงเย็น” ทาง “ข่าวหุ้นทีวีออนไลน์” ช่วง 15.45 – 16.10 น.จะมีนักลงทุนมาถามถึงแนวรับกันค่อนข้างมาก
คืออยากจะรู้ว่า หุ้นที่เขาถืออยู่นั้นจะลงมาลึกแค่ไหน ลึกพอหรือยัง
ในเชิงเทคนิคนั้น ก็พอตอบได้
แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่แบบนี้ ปัจจัยลบรุมเร้า และยังหาทางออกกันไม่เจอ
สัญญาณทาง
เทคนิคก็อาจไม่ถูกต้องเสมอไป
กราฟพังได้เหมือนกัน