พาราสาวะถี
ร่วมทำงานกันมานานกว่า 5 ปีไม่เคยมีภาพเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลอย่างพร้อมหน้ากันเหมือนเมื่อวันวาน ดังนั้น การจะปฏิเสธว่า ที่เดินทางมาพร้อมกันของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ วิษณุ เครืองาม ไม่มีอะไรในกอไผ่คงไม่ใช่อย่างแน่นอน ยิ่งในบริบทการเมืองเข้มข้นอยู่ในช่วงสำคัญของเกมต่อรองตั้งรัฐบาล จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้คนจะเชื่อว่า ภาพพร้อมหน้าที่ปรากฎนั้นคือสัญญาณสุดท้ายของการเคาะไปต่อของขบวนการสืบทอดอำนาจ
อรชุน
ร่วมทำงานกันมานานกว่า 5 ปีไม่เคยมีภาพเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลอย่างพร้อมหน้ากันเหมือนเมื่อวันวาน ดังนั้น การจะปฏิเสธว่า ที่เดินทางมาพร้อมกันของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ วิษณุ เครืองาม ไม่มีอะไรในกอไผ่คงไม่ใช่อย่างแน่นอน ยิ่งในบริบทการเมืองเข้มข้นอยู่ในช่วงสำคัญของเกมต่อรองตั้งรัฐบาล จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้คนจะเชื่อว่า ภาพพร้อมหน้าที่ปรากฎนั้นคือสัญญาณสุดท้ายของการเคาะไปต่อของขบวนการสืบทอดอำนาจ
ไม่เพียงเท่านั้น เนติบริกรประจำรัฐบาลคสช.ยังให้สัมภาษณ์ในเชิงชี้นำด้วยว่า การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้ และจะมีการตั้งรัฐบาลในต้นเดือนมิถุนายน อาจจะมีการออกตัวหากไปถามซ้ำว่า เป็นการพูดตามเงื่อนเวลาหรือไทม์ไลน์ตามกฎหมาย แต่กฎหมายไม่ได้ระบุเรื่องวัน เวลาไว้ชัดเจนขนาดนั้น ขณะเดียวกันพอตัดภาพไปที่เวทีปฐมนิเทศน์ส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจก็พบว่าทั้ง อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ไม่ได้มาร่วมงานสำคัญนี้ด้วย
นั่นย่อมหมายความว่ามีงานที่สำคัญกว่า ในฐานะหัวขบวนผู้ได้รับมอบหมายจากพรรคและอาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนเจรจาของผู้นำเผด็จการในการดึงพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจเสียด้วยซ้ำไป การหายตัวไปจากงานของพรรคจึงถูกมองว่าเป็นการดอดไปเจรจาเพื่อปิดดีลในการดึงสองพรรคตัวแปรสำคัญ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เข้ามาร่วมสังฆกรรม ผลประชุมส.ส.พรรคเก่าแก่ที่เคาะ “อาสาเป็นผู้นำทางฝ่ายนิติบัญญัติ” คือ ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ชัดเจนนี่คือการประกาศร่วมรัฐบาลพปชร.
เมื่อเป็นไปตามนี้นั่นก็หมายถึง การจับมือเป็นแพ็กคู่ 103 เสียงของพรรคเก่าแก่และพรรคกัญชาเสรี เป็นตัวบีบให้ฝ่ายถือครองอำนาจยอมคายกระทรวงหลักที่เกาะไว้แน่นก่อนหน้านี้ออกมาทันที สิ่งที่ตามมาคือเก้าอี้เสนาบดีคงเป็นไปตามที่ขอ ประชาธิปัตย์รับเก้าอี้ว่าการมหาดไทย พาณิชย์และพลังงาน ส่วนภูมิใจไทยก็สมใจอยากกับว่าการสาธารณสุข คมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
ขณะที่สองพรรคแทงกั๊กอย่าง ชาติไทยพัฒนาและชาติพัฒนา ด้วยจำนวนส.ส.ที่มีน้อยนิดคงต้องยอมรับชะตากรรมในการได้เก้าอี้กระทรวงเกรดบีและซีไปตามระเบียบ เพราะการใส่เกียร์ถอยรอบนี้ของพรรคสืบทอดอำนาจ จำเป็นจะต้องกลับไปเกลี่ยเก้าอี้กระทรวงเกรดเอที่เหลือกับแกนนำกลุ่มมุ้งต่าง ๆ ภายในพรรคของตัวเองด้วย เช่นเดียวกับเก้าอี้ของพี่น้องเผด็จการ ที่ต้องเสียกระทรวงคลองหลอดไปจะจัดวางกันไว้ตรงไหนถึงจะเหมาะสม
ความจริงก็เป็นสิ่งที่สมควรจะเสียสำหรับพรรคสืบทอดอำนาจ เนื่องจากเสียงส.ส.ที่ได้มานั้นมันไม่มากพอที่จะเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าพรรคที่จะไปดึงมาเป็นรัฐบาลผสม ทั้ง ๆ ที่วางกับดักไว้สารพัดบวกเข้ากับการเอียงกระเท่เร่ขององค์กรอิสระบางแห่ง อุตส่าห์ใช้เล่ห์กลช่วยแล้วก็ยังได้มาเท่านี้ ประกอบกับการเสียศูนย์ของพรรคเก่าแก่จึงเลยทำให้เป็นโจทย์ซ้อนเข้ามาทำให้ยากขึ้นไปอีก และดูเหมือนว่าปัญหาภายในประชาธิปัตย์ยังเป็นเรื่องเรื้อรังและไม่น่าจะจัดการกันได้สะเด็ดน้ำเหมือนที่ผ่านมา
ต้องยอมรับกันว่า นับตั้งแต่เกิดการแยกตัวไปเป่านกหวีด บรรยากาศภายในของพรรคเก่าแก่ก็เปลี่ยนไปในทันที แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีปัญหากันอยู่บ้างสำหรับแกนนำที่ไปก่อม็อบกับคนใหญ่คนโตภายในพรรค แต่เมื่อยังอยู่เป็นพวกเดียวกันมันยังพอที่จะหยวน ๆ ยอม ๆ กันได้ พลันที่อีกฝ่ายไปปลุกมวลมหาประชาชนแล้วหลงผิดคิดว่ามีกำลังสนับสนุนมากพอจึงหันกลับมาชักใยให้เด็กในคาถาที่ยังอยู่กับพรรคเก่า ก่อหวอด แข็งข้อและสู้กับคนที่เป็นหนามทิ่มแทงตัวเองอย่างไม่ลดราวาศอก
ศึกในครั้งนี้ของประชาธิปัตย์ลองถ้าคนชื่อ ชวน หลีกภัย ออกโรงกันขนาดนี้ ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา แน่นอนว่า สิ่งที่จะตามมาคงหนีไม่พ้นสถานะและการดำรงตนอยู่ภายในพรรคของคู่ต่อกร เมื่อไม่ยึดถือวัฒนธรรมองค์กรที่เคยเป็นมา พ่วงกับข้อหารับเงินภายนอกมาแทรกแซงภายในพรรค ใครก็ตามที่อยู่ในข่ายย่อมอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ไม่ว่าจะสั่งได้หรือไม่ได้ก็ตาม การประกาศ ”ไม่ยกมือไหว้ก็ไม่เป็นไร” ของผู้ที่ได้ฉายาว่าใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งนั้น น่าจะเป็นการส่งซิกอะไรบางอย่าง
หันกลับไปมองรัฐบาลผสมที่กำลังจะเกิดขึ้น เสียงปริ่มน้ำแล้วอยู่ยาว เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แล้วการเดินไปแบบนี้ โดยที่ก็รู้อยู่ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต้องการ จึงเกิดคำถามขึ้นมาใหม่ว่า ถ้าเช่นนั้นหากมีการโหวตเลือกนายกฯโดยที่ผู้นำเผด็จการสมใจอยากแล้วประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่จะเป็นไปได้หรือไม่ ดูเหมือนจะยากเพราะอาจจะถูกโจมตีหลายด้าน
ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า การเป็นผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีอำนาจวิเศษไม่มีมาตรายาวิเศษ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต้องใช้สภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวตัดสิน อุบัติเหตุทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกัน สิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตโดยปราศจากการตรวจสอบหรือถูกปิดปาก อาจจะถูกขุดคุ้ยแล้วนำมาเป็นประเด็นโจมตีผู้นำที่ลอกคราบเผด็จการไปแล้วได้ตลอดเวลา นี่ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจก็คิดกันหนักอยู่ไม่น้อย
ทางที่ดีอีกแบบแต่ผู้นำเผด็จการคงไม่เลือกคือ การประกาศวางมือทางการเมือง พร้อม ๆ กับบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ได้ดิบได้ดีกันมาตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา แล้วเปิดทางให้พรรคในคาถาได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แบบนี้ฝ่ายที่จะมาเข้าร่วมก็ไม่ลำบากใจ แต่การเดินเกมวางแผนยึดอำนาจนานครึ่งปีบวกกับสารพัดกลวิธีที่วางไว้เพื่อพวกเรา คงไม่มีทางที่จะยอมให้ใครคว้าพุงปลาไปกินแน่นอน
ล่าสุด มติของศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องกกต.ให้วินิจฉัย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติสมัครส.ส.จากกรณีถือหุ้นสื่อ พร้อมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย น่าจะทำให้เห็นทิศทางการเมืองกันชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันแต่นี่ก็เป็นการยืนยันกระแสข่าวที่ก่อนหน้า “ไม่ให้ธนาธรเข้าสภา” เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง