การเปลี่ยนของยุคสมัย
มีการเปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้ทุกวันแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เรียกได้ว่าการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย 3 เหตุการณ์ที่จะมีผลต่อสังคมโลกและสังคมไทยรวมทั้งตลาดทุนไทยอย่างมีนัยสำคัญการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยนี้ตรงกับภาษาเยอรมันว่า zeitgeist ที่กินความลึกซึ้งพอสมควรการเปลี่ยนแปลงทั้งสามได้แก่
พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล
มีการเปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้ทุกวันแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เรียกได้ว่าการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย 3 เหตุการณ์ที่จะมีผลต่อสังคมโลกและสังคมไทยรวมทั้งตลาดทุนไทยอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยนี้ตรงกับภาษาเยอรมันว่า zeitgeist ที่กินความลึกซึ้งพอสมควร
การเปลี่ยนแปลงทั้งสามได้แก่
–ชัยชนะแบบถล่มทลายของพรรคชาตินิยมฮูนดูเข้มข้นภารติยะชนะตะ หรือ BJP ในอินเดียที่ทำให้นายนเรนทรา โมดี ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอินเดียต่อเป็นสมัยที่สองอีก 5 ปี
– การประกาศลาออกจากตำแหน่งอย่างหมดสภาพของนายกรัฐมนตรีอังกฤษนางเทเรซาเมย์ ที่จะมีผลวันที่ 7 มิถุนายนนี้
– การก่อตั้งรัฐบาลผสมพิลึกพิลั่นสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยและการถึงแก่อนิจกรรมของรัฐบุรุษพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หนึ่งในเสาค้ำอำนาจเผด็จการทหารคสช.
เรื่องแรกพรรคชาตินิยมฮินดูภารติยะ ชนะตะหรือ BJP ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งล่าสุดที่มีผู้ใช้สิทธิ์กว่า 600 ล้านคน ในประเทศประชาธิปไตยใหญ่สุดของโลกมีความสำคัญต่ออนาคตของอนุทวีปและภูมิศาสตร์การเมืองของโลกในอนาคตอย่างมาก
ชัยชนะของพรรคที่สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกรอบ 30 ปี ของอินเดียไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามาจาก 2 เหตุปัจจัยหลักคือความสำเร็จทางเศรษฐกิจของรัฐบาลนายโมดีและความเฟื่องฟูของพลังขบวนการชาตินิยมฮินดูเข้มข้นที่น่าหวาดหวั่นของพรรค BJP
5 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลนายโมดี สามารถสร้างให้อินเดียกลายเป็นชาติ ที่มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจแซงหน้าจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ และปีนี้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 5 ของโลกแซงเบียดอังกฤษให้ตกลงไป
เคล็ดลับของความสำเร็จสำคัญสุดคืออินเดียกลายเป็นชาติที่มีตลาดแรงงานฝีมือสูงที่เป็นประชากรหนุ่มสาวในสัดส่วนสูงมากที่สุดเป็นกลจักรสำคัญผลักดันได้รับผลของสังคมสูงวัยน้อยที่สุดและการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากขึ้นทำให้ทุนต่างชาติมั่นใจในระบบเศรษฐกิจเพราะปีที่ผ่านมาปีเดียวมีทุนต่างชาติที่ไม่ใช่เก็งกำไรถูกอัดฉีดเข้ามาเกือบ 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สู่ภาคธุรกิจและการจ้างงาน
การเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจทำให้อินเดียมีความก้าวหน้าในหลายด้านคู่ขนานไปเช่นการสร้างถนนเพิ่มการสร้างงานในเขตชนบทการขายแก๊สหุงต้มราคาถูกแก่ผู้ยากจนการสร้างห้องน้ำหมู่บ้านและโครงการประกันด้านสุขภาพแก่ประชาชนที่อาจส่งผลดีแก่ชาวอินเดีย 500 ล้านครอบครัว แม้ว่าจะยังมีจุดอ่อนเปราะคั่งค้างในเรื่องปัญหาอุปสงค์มวลรวมในประเทศที่ลดลงรายได้ประชากรลดลงมีอัตราการว่างงานสูงที่สุดรอบ 4 ทศวรรษ รวมถึงประเด็นปัญหาแรงกดดันของจำนวนประชากรที่คาดว่าภายในปี 2024 อินเดียจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนและเป็นประเทศที่มีเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก
ส่วนการเถลิงอำนาจของกระแสชาตินิยมฮินดูเข้มข้นซึ่งเป็นผลพวงจากปฏิกิริยาโต้กลับนโยบายที่ผู้นำหลายประเทศใช้เรียกคะแนนนิยมเช่นประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ประกาศจะ “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง“ (Make America Great Again) เช่นเดียวกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูตินของรัสเซีย ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เพื่อชูพลังเอกภาพในชาติกอบกู้ความยิ่งใหญ่ของชาติกลับคืนมาอีกครั้งได้ถูกนายโมดี ใช้เป็นประเด็นในการหาเสียงเลือกตั้งโดยเปรียบการปกครองของเขากับพระรามในศาสนาฮินดูโดยอ้างว่าบรรดาบิดาผู้ก่อตั้งพรรคได้ยึดแนวคิดที่เรียกว่า Ram Rajya มาใช้และพยายามมุ่งไปสู่การปกครองในอุดมคตินี้แม้จะยืนกรานว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้านชนกลุ่มน้อยในประเทศแต่นโยบายการเมืองแบบผู้นำแข็งแกร่งและบทบาททางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นทำให้คาดหมายว่าจะมีเรื่องน่าห่วง 2 เรื่องรอข้างหน้า
ภายในประเทศที่ผ่านมาพรรคบีเจพี มักผสมผสานการใช้วาทศิลป์กับแนวคิดการมืองฝ่ายขวาแบบเดียวกับที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ การเรียกผู้อพยพผิดกฎหมายว่า”ปลวก” พร้อมประกาศจะ “จับพวกเขาโยนลงอ่าวเบงกอล“ แต่กลับเสนอมอบสถานะพลเมืองให้แก่ผู้ลี้ภัยที่นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงทางชาติพันธุ์ได้ง่าย
ในระดับภูมิภาคอินเดียอาจจะก่อสงครามที่ไม่จำเป็นบ่อยขึ้นในอนาคตเพื่อช่วยดึงคะแนนนิยมในพรรคและรัฐบาลนายโมดีที่ดิ่งลงในบางช่วงโดยเฉพาะความขัดแย้งเรื่องพรมแดนในแถบเทือกเขาหิมาลัยและในบริเวณทะเลจีนใต้กับจีน
แนวโน้มดังกล่าวสอดรับกับแนวยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ที่ต้องการให้กองทัพอินเดียได้ผงาดขึ้นเป็นผู้คานอำนาจของจีนในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และช่องแคบมะละกา รวมทั้งช่วยค้ำจุนสหรัฐฯ ที่กำลังอ่อนอิทธิพลลง
เรื่องสองการลาออกจากตำแหน่งของนางเทเรซาเมย์ นายกรัฐมนตรีหญิง ของอังกฤษคนที่ 2 เพราะความขัดแย้งภายในพรรคคอนเซอร์เวทีฟว่าด้วยเรื่องยุโรปหลังจากดำรงตำแหน่ง 2 ปีเศษ ทำให้ความมุ่งมั่นไปที่การพาสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป “แบบมีข้อตกลง” เผชิญกับความสิ้นหวังที่จะทำตามผลประชามติซึ่งเสนอขึ้นโดยเดวิด คาเมรอน นายก ฯ คนก่อนหน้า
หลังการลาออกเสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ออกมาในเชิงลบว่าชื่อเสียงของเธอจะได้รับการบันทึกไว้ว่าทึ่งที่เธอสามารถทนความอับอายจากความพ่ายแพ้ในการเจรจาเรื่องเบร็กซิทไม่ว่าจะเป็นกับสหภาพยุโรปหรือในสภาผู้แทนราษฎรในอังกฤษเอง
ความจริงแล้วแรงผลักดันให้นางเมย์ ยืนหยัดสู้ถือว่าสูญเปล่าหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2017 เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งพรรคคอนเซอร์เวทีฟไม่ได้เสียงข้างมากและต้องพึ่งพรรคเดโมแครติกยูเนียนนิสต์ถึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ทำให้ฐานะเธอไม่เคยฟื้นตัวได้อีกเลยและดูเหมือนว่าส.ส. ในพรรคก็รอจะหาหัวหน้าพรรคคนใหม่มากกว่า อนาคตของนางเมย์ จบลง แต่ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษน่าจะเซซวนไปอีกยาวนานจากการไร้ข้อตกลงกับสหภาพยุโรป
เรื่องสุดท้ายใกล้ตัวคนไทยมากสุดแต่เปรียบได้กับ “เส้นผมบังตา” เพราะการพยายามจัดตั้งรัฐบาลผสมมากกว่า 10 พรรคการเมืองอย่างฝืนธรรมชาตินอกจากมีโอกาสทำลายความชอบธรรมและไร้ประสิทธิภาพแล้วการใช้อำนาจกดดันให้ฝ่ายตรงข้ามที่เห็นแย้งไร้เวทีในรัฐสภา (รวมความถึงความเป็นไปได้ในการยุบพรรคอนาคตใหม่ด้วยข้ออ้าง “ตัดไฟแต่ต้นลม” แบบวัวสันหลังหวะ) จะทำให้โอกาสของสถานการณ์รุนแรงอันไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้นอย่างเปราะบางในอนาคตในยามที่เศรษฐกิจไทยเสื่อมทรุดลงเพราะพลังขับเคลื่อนทำงานไม่เต็มที่โดยเฉพาะภาคการส่งออก
การถึงแก่อนิจกรรมของพลเอกเปรม ประธานองคมนตรี ซึ่งที่ผ่านมาทำหน้าที่เป็นหนึ่งในเสาค้ำสำคัญของคณะเผด็จการทหารถือได้ว่ามีนัยสำคัญอย่างมากแต่เร็วเกินจะด่วนสรุปสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รู้แค่ว่าไม่ใช่ข่าวดีสำหรับอำนาจเผด็จการทหารก็น่าจะพอ..!?