พาราสาวะถี
ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสองวันติดในวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ เห็นปรากฏการณ์หลาย ๆ อย่าง ไม่ได้เหนือความคาดหมายใดๆ กับการที่ ชวน หลีกภัย จากประชาธิปัตย์ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร “ตี๋กร่าง” สุชาติ ตันเจริญ ของพลังประชารัฐ นั่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ “ครูแก้ว” ศุภชัย โพธิ์สุ จากภูมิใจไทย ได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เพราะทั้งหมดคือหวยล็อคที่วางกันไว้ อันหมายถึงภาพของขั้วในการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีอะไรพลิกโผ
อรชุน
ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสองวันติดในวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ เห็นปรากฏการณ์หลาย ๆ อย่าง ไม่ได้เหนือความคาดหมายใดๆ กับการที่ ชวน หลีกภัย จากประชาธิปัตย์ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร “ตี๋กร่าง” สุชาติ ตันเจริญ ของพลังประชารัฐ นั่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ “ครูแก้ว” ศุภชัย โพธิ์สุ จากภูมิใจไทย ได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เพราะทั้งหมดคือหวยล็อคที่วางกันไว้ อันหมายถึงภาพของขั้วในการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีอะไรพลิกโผ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคงเป็น กระบวนการต่อรองเรื่องผลประโยชน์ ภายในวันสองวันนี้คงจะมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่อง 20 พรรคการเมืองจับมือตั้งรัฐบาล คำถามตัวโตก็คือ ผลจากการเดินเกมการเมืองแบบเซียนเหยียบเมฆของพรรคเก่าแก่นั้น จะส่งผลอย่างไรต่ออายุขัยของรัฐบาลสืบทอดอำนาจหรือไม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องวาทกรรมที่จะใช้อ้างในการเข้าร่วมกับพรรคของผู้นำเผด็จการ เนื่องจากพรรคหนึ่งเขาถนัดทั้งการพูดและความหน้าทนอยู่แล้ว ส่วนอีกพรรคก็ตีลูกมึนอ้างหลักการ ความสามัคคีอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม ผลจากการลงมติเลือกประธานและรองประธานสภาฯ รวมไปถึงก่อนที่จะโหวตเลือกประธานที่พรรคสืบทอดอำนาจเล่นเกมขอเลื่อนการโหวตออกไปนั้น ถือเป็นภาพที่ประจานเกมการต่อรองกันได้อย่างชัดเจนมากที่สุด เล่ห์เหลี่ยมของพรรคเก่าแก่ในการส่งชวนไปนั่งเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัตินั้น มองกันได้ไม่ยากว่ามีเป้าประสงค์อะไร แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายและบทพิสูจน์ ในภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำก็คือ ข้อกล่าวหาเรื่องเผด็จการรัฐสภา การเข้าร่วมรัฐบาลหนนี้จะเกิดภาพเสียงข้างมากลากไปหรือไม่
แน่นอนว่า หากเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคือความผิดพลาดในการบริหารงานของฝ่ายสืบทอดอำนาจ แล้วถูกฝ่ายค้านอภิปรายโดยที่คนส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องต้องกัน วาทกรรมเผด็จการรัฐสภา คนที่นั่งเป็นประธานและลิ่วล้อพรรคเดียวกันอีก 51 เสียง จะทำตัวให้แตกต่างจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองเคยกล่าวหาได้หรือไม่ เพราะสภาที่เกิดขึ้นเวลานี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสภาที่เผด็จการขีดเส้นไว้ให้เดินตามที่ต้องการ
เห็นอาการของ อนุทิน ชาญวีรกูล เห็นท่วงทำนองของ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ สองหัวหน้าพรรคตัวแปรสำคัญ ต้องบอกว่าไม่ได้มีอะไรที่ผิดแปลกไปจากที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ การติ๊ดชึ่งตีกรรเชียง อ้างโน่นอ้างนี่ถือเป็นสูตรสำเร็จของนักการเมืองที่ต้องการเก้าอี้แห่งอำนาจอยู่แล้ว บทพิสูจน์ต่อไปอยู่ที่ว่าเมื่อเข้าไปแล้ว จะสามารถเดินตามนโยบายที่ตัวเองกล่าวอ้างและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนตามความต้องการหรือไม่
อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่า เดิมพันของรัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้น อยู่ที่การเร่งผลิตผลงานด้านเศรษฐกิจให้เป็นที่ประจักษ์ ปัญหาปากท้องของประชาชน จะมาอ้างว่าเกิดจากเศรษฐกิจโลกก็ได้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่จุดใหญ่ใจความที่ว่า ต่างชาติไม่ให้การยอมรับรัฐบาลเผด็จการคงจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ยังนึกภาพไม่ออกว่าปลาหลากน้ำด้านเศรษฐกิจที่ไหลมารวมกัน จะพากันก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่เตะตัดขากันอย่างไร แค่เกมชิงไหวชิงพริบในสภาก็ทำให้เห็นอะไรอยู่มากพอสมควร
นี่ยังไม่นับรวม กระบวนการตรวจสอบที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อันเป็นผลมาจากความเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจที่เคยกดทับทุกอย่างไว้ เมื่อมีสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่สามารถใช้ม.44 และกฎหมายพิเศษต่าง ๆ ปิดปากได้อีกต่อไป ต้องดูกันว่า ผู้นำเผด็จการที่แปลงกายมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวจะหนีการตรวจสอบดังว่านี้อย่างไร ไม่เพียงแค่ผู้นำเท่านั้นหากแต่พี่ใหญ่พี่รองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะได้รับการยกเว้นได้
ดีไม่ดี ปมนาฬิกาหรูที่เคยถูกตีตกไปแล้วในชั้นของป.ป.ช. พอมีสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชน ไม่รู้ว่าจะเกิดการตรวจสอบอย่างหนึ่งอย่างใดที่ลากโยงไปถึงเรื่องเก่าในอดีตได้หรือไม่ อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด แม้จะเชื่อกันว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวที่จะมาเป็นฝ่ายค้าน ดังนั้น การทำงานในด้านนี้จึงอาจดูอ่อนด้อย แต่จากการที่ได้ติดตามการประชุมช่วงสองวันที่ผ่านมา เห็นบรรดาส.ส.หน้าใหม่ของพรรคอนาคตใหม่ลุกขึ้นอภิปรายแล้วชวนให้ติดตามไม่น้อย
การไม่เคอะเขินตื่นเต้นในการที่จะลุกขึ้นทักท้วงในที่ประชุมของคนอย่าง รังสิมันต์ โรม การต่อปากต่อคำและยืนในหลักการแบบแม่น ๆ แน่น ๆ อย่าง พรรณิการ์ วานิช เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานการเมืองนั้น ไม่ได้โหนกระแสและหวังเพียงแค่มีตำแหน่งแห่งหนในทางการเมืองเท่านั้น แต่คนเหล่านี้มีหลักคิดที่จะเข้ามาทำงานการเมืองให้ตรวจสอบได้ สร้างการเมืองให้เข้มแข็ง สิ่งสำคัญคือ การเมืองต้องตรงไปตรงมา
จุดใหญ่ใจความคือ คนเหล่านี้เป็นฝ่ายที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ขณะที่บางคนก็ถูกอำนาจเผด็จการเล่นงานมาแล้ว ดังนั้น เมื่อเผด็จการจำแลงมาอยู่ในการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว คนพวกนี้นี่แหละที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการตรวจสอบจนนำไปสู่การล่มสลายของอำนาจสืบทอด สิ่งที่จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาดคือ ผลแห่งการแก่งแย่งช่วงชิงเก้าอี้ในซีกของขบวนการสืบทอดอำนาจนั่นแหละ ที่จะเป็นช่องทางในการช่วยให้กระบวนการตรวจสอบมีหลักฐานที่แน่นหนาได้
อย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด ขนาดรัฐบาลเผด็จการที่ว่าแน่ ๆ เรายังได้เห็นเอกสารหลุดออกมาปรากฎต่อสาธารณชนหลายครั้งหลายหน แน่นอนว่า แต่ละครั้งก็ใช้อำนาจที่มีเป่าทิ้งให้เงียบหาย แต่มาเวลานี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป สนิมเกิดแต่เนื้อในตนฉันท์ใด การเมืองที่จะก้าวสู่เส้นทางหายนะ ก็มักจะเกิดจากพวกเดียวกันที่มองเห็นการใช้อำนาจเอื้อตัวเองและพวกพ้องอย่างไม่ลืมหูลืมตาฉันท์นั้นเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ผลจากการประชุมสภาที่ผ่านมา ยังได้เห็นอาการกลัวขี้ขึ้นสมองของลิ่วล้อเผด็จการ กับการลุกขึ้นขอพูดในที่ประชุมของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรอนาคตใหม่ที่เข้าไปปฏิญาณตนก่อนหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพียงแค่จะพูดว่าน้อมรับและปฏิบัติตาม แต่พวกสันหลังหวะทั้งหลายต่างพากันยกมือคัดค้านกันหน้าสลอน เห็นแล้วสังเวชใจ ไม่รู้จะกลัวอะไรกันขนาดนั้น แต่ก็ดีเพราะภาพที่เกิดมันน่าจะเป็นการประจานหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับธนาธรเป็นกลไกปกติหรือไม่