บทเรียนที่ ‘สอบไม่ผ่าน’ทายท้าวิชามาร
ศาลทหารสั่ง “ปล่อยตัว” 14 นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ โดยที่ยังไม่พ้นข้อหา โดยยังมีคดีคาอยู่ในศาลและยังมีคดีอื่นที่เจ้าหน้าที่พร้อมจะ “เล่นงาน” แต่เชื่อว่าคงยังไม่เอาความระหว่างนี้ คงมีการ “หย่าศึก” ไว้ก่อน ขณะที่ฝ่ายนักศึกษาประชาชนผู้สนับสนุนก็น่าจะต้อง “พักรบ” แล้วค่อยหาจังหวะตั้งลำใหม่
ศาลทหารสั่ง “ปล่อยตัว” 14 นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ โดยที่ยังไม่พ้นข้อหา โดยยังมีคดีคาอยู่ในศาลและยังมีคดีอื่นที่เจ้าหน้าที่พร้อมจะ “เล่นงาน” แต่เชื่อว่าคงยังไม่เอาความระหว่างนี้ คงมีการ “หย่าศึก” ไว้ก่อน ขณะที่ฝ่ายนักศึกษาประชาชนผู้สนับสนุนก็น่าจะต้อง “พักรบ” แล้วค่อยหาจังหวะตั้งลำใหม่
พูดได้ว่านี่เป็นการประลองขั้นต้น ซึ่งผลก็คือ คสช.เป็นฝ่าย “เพลี่ยงพล้ำ”
อ๊ะอ๊ะ พูดงี้ได้ไง กองทัพยังแข็งปั๋ง ไอ้พวกนักศึกษาอาจารย์ที่ทำมาเย้วๆ ไม่กี่คน ถ้าท่านจะกวาดจับ กวาดล้าง ใช้กำลังสลายก็ไม่เห็นยาก แต่นี่มัน พ.ศ.ไหนแล้วครับ บอกแล้วว่าไม่ใช่ 14 ตุลา พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่จอมพลถนอม ไม่ใช่ พล.อ.สุจินดา ท่านพูดอยู่ว่ารัฐประหารครั้งนี้ “ไม่มีใครตาย” ท่านรู้แก่ใจว่าต่อให้ คสช.มีอำนาจล้นฟ้าก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามใช้ความรุนแรงได้ แม้มีอำนาจเผด็จการแต่ก็ต้องสู้กันในกระแสสาธารณะแบบสังคม (กึ่ง) อารยะ
ซึ่งไม่ใช่งานถนัดของทหาร ซ้ำยังมีปัญหาตรรกะความชอบธรรมของอำนาจรัฐประหาร เช่นที่อ้างว่า “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” โถ…รัฐประหารคือการฉีกกฎหมายสูงสุด ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ออกประกาศคำสั่งเป็นกฎหมาย แต่กลับบอกว่านักศึกษา 14 คนแค่ชูป้ายก็ผิดกฎหมายร้ายแรง ปล่อยไว้ไม่ได้
พูดอย่าง “ลุงตู่” วันแรกๆ ที่ว่ารู้นะ ทำไม่ถูกแต่ทำไงได้มันจำเป็นเห็นใจเถอะ ฯลฯ ก็ยังพอฟังได้ แต่ขุนพลรอบข้างสิ ไม่รู้ไปอ้างข่าวกรองจากไหน “มีเบื้องหลัง”
ซ้ำพอจับขังแล้วพ่อแม่เด็กไปเยี่ยม ไม่รู้ใครฉลาดจัง ส่งรถทหารไปเยี่ยมบ้าน ก็รู้นะทหารสมัยนี้พูดจาดีๆ แต่มีความจำเป็นอะไรต้องไปถาม “เลี้ยงลูกยังไง” คณาจารย์เข้าชื่อให้ปล่อยลูกศิษย์ ก็ไปถาม “สอนลูกศิษย์ยังไง” จะเอาไปทำงานวิจัยหรือ
รับมือไม่เป็น ไม่เข้าใจ “การเมืองนำการทหาร” นี่ขนาดกระแสต้านยัง “ไม่สุกงอม” อะไรเลย ยังลุกลามได้ขนาดนี้ ถ้าเจอของจริงจะทำไง
เตือนไว้ด้วยความเป็นห่วงเพราะผมก็ไม่อยากเห็นสถานการณ์ “แตกหัก” อะไรทำนองนั้น คสช.มีกำลังทหารแข็งปั๋งก็จริง แต่ยุคนี้สมัยนี้ไม่สามารถใช้ปืนยิงกราดใครได้ ใช้เมื่อไหร่ก็แพ้ ท่านก็รู้แก่ใจ สมมติมีม็อบซักครึ่งหมื่นมายึดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจะทำไง ทหารก็ทหารเถอะ รู้อยู่ว่าใช้ปืนไม่ได้ ต้องใช้วาทกรรมใช้เหตุผลหว่านล้อม ต้องเจรจาต่อรองโดยมีไมค์จ่อปากทั้งสองฝ่าย ต้องใช้ท่าทีโน้มน้าวจูงใจคนกลางๆ ต้องช่วงชิงกระแสสังคมให้ได้ ขืนมีใครมุทะลุ พูดผิดหู สาดน้ำมันเข้ากองไฟ ก็เป็นฝ่ายแพ้เท่านั้น
โชคดีครั้งนี้ยังเป็นแค่ “สนามซ้อม” ในทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ยังมีคะแนนนิยมสูง ประกอบกับสังคมไทยยังไม่เห็นทางออก ยังเข็ดขยาดการเลือกตั้ง
แต่ปัญหาหลายอย่างก็กำลังประดัง เริ่มมีกระแสความไม่พึงพอใจหลายเรื่อง เช่น ซื้อเรือดำน้ำ ลงทุน 4 แสนล้านสร้างรถไฟจีน ซ้ำมีปัญหาปากท้องซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ประชาชนเข้าใจและสนับสนุนให้ใช้มาตรการเด็ดขาดจัดการเรือประมง แต่การบอกว่าไม่มีตังค์ก็อย่ากินอาหารทะเล ในขณะที่จะใช้ตังค์ 36,000 ล้านซื้อเรือดำน้ำ มันสะเทือนความรู้สึกนะครับ
กลับไปทบทวนบทเรียนให้ดีๆ เพราะเรายังต้องอยู่กับท่านอีกระยะหนึ่ง พร้อมกับต้องหาทางลงร่วมกันอย่างสันติ
ใบตองแห้ง