พาราสาวะถี

อรชุน

คงจะหาคำตอบจากผู้ดูแลงานด้านความมั่นคงได้ลำบาก เมื่อใจมันอคติเสียแล้วก็คงยากที่จะดูดำดูดี กรณี “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ถูกชายฉกรรจ์ 5 คนรุมทำร้ายบริเวณป้ายรถเมล์ปากซอยนาทอง รัชดาซอย 7 เขตห้วยขวาง เพราะย้อนกลับไปรายของ เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองอีกรายที่ถูกทำร้ายหลายครั้ง เมื่อคนไปถาม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ คนที่กำกับดูแลทั้งทหารและตำรวจ สิ่งที่ได้ยินจากปากคือ ไปทำอะไรใครไว้ถึงโดนอย่างนี้

นี่คือสิ่งที่ไม่ควรออกมาจากปากรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านความมั่นคง เพราะในฐานะประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม การถูกทำร้ายประสงค์ถึงเอาชีวิตกลางเมืองหลวง ในภาวะที่เป็นรัฐบาลอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นหรือถ้าเกิดกับใครก็ควรจะเป็นแค่หนเดียว แล้วไม่ควรเกิดขึ้นอีก แต่รายของเอกชัยถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่แยแส หรือเพราะมองว่านี่เป็นพวกเห็นต่าง

ถ้าคิดเช่นนั้นก็ถือเป็นความอำมหิตอย่างยิ่งของอำนาจเผด็จการ และยิ่งกำลังจะลอกคราบไปใส่สูทอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งเป็นนักประชาธิปไตยแล้ว ความคิดอันคับแคบและความไม่มีน้ำใจนักกีฬานั้น ควรจะเลิกได้แล้ว รายของจ่านิวเหตุเกิดบริเวณป้ายรถเมล์ที่มีประชาชนมารอใช้บริการรถเมล์หนาแน่น แน่นอนว่า ด้วยความที่เจ้าตัวเคลื่อนไหวทางการเมือง เหตุจูงใจอื่นที่จะทำให้ถูกทำร้ายย่อมเป็นไปไม่ได้ หากยังไร้คำตอบในการติดตามตัวคนก่อเหตุมาดำเนินคดี งานนี้คงไม่จบง่าย ๆ หรือทำให้คนลืมไปเองเหมือนรายเอกชัย

เห็นได้จากการออกมาแสดงความเห็นของนักเคลื่อนไหวต้านเผด็จการและบรรดาแกนนำฝ่ายการเมืองทั้งหลาย ที่น่าสนใจคงเป็น “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ ที่มองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่มีผู้สั่งการให้คนมาทำร้ายนักกิจกรรม เพื่อจะสื่อสารว่าไม่ปลื้มกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของบุคคลเหล่านี้ มั่นใจว่าผู้สั่งการต้องการสื่อสารไปยังบุคคลอื่นที่ไม่ใช่แค่จ่านิว โดยใช้กรณีนี้เป็นเครื่องกระจายเสียงแห่งความหวาดกลัวถึงผู้ที่กล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา

เพื่อพิสูจน์ว่าอำนาจเผด็จการไม่ได้ใจบาปหยาบช้าขนาดนั้น ผู้มีอำนาจต้องสั่งการให้กระบวนการยุติธรรมตั้งต้นจัดการอย่างเด็ดขาดในการติดตามตัวคนก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนี้ตำรวจไทยจะทำไม่สำเร็จ ที่สำคัญเมื่อสนธิกำลังกับทหารที่ยังใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษได้อยู่ ถ้าตั้งใจจริงทุกอย่างต้องคลี่คลาย เว้นเสียแต่ว่าจะรับสารมาเหมือนอย่างที่บก.ลายจุดว่า ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยก็วังเวงแน่นอน

ก่อนที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันพรุ่งนี้ ซึ่งคงหนีไม่พ้นคนชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะกลับมาครองเก้าอี้อีกกระทอก หนนี้ไม่ได้มาโดยปลายกระบอกปืน แต่มาโดยวิธีการที่ใช้ปลายกระบอกปืนไปขีดเขียนกฎหมาย จนทำให้ได้กลับมา บรรยากาศก่อนการลงคะแนนที่จะมีส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงคอยขานชื่อหนุนอยู่แล้ว คงจะเกิดภาพความชุลมุน เดินเกมป่วนกันในสภาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายเรื่องที่มาของส.ว.หรือแม้กระทั่งคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกฯ และให้ว่าที่นายกฯ แสดงวิสัยทัศน์

หากถอดรหัสจากคำพูดของผู้นำเผด็จการล่าสุด ไม่มีจุดยืนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเพราะเป็นกลไกตามกฎหมาย และไม่แสดงวิสัยทัศน์ เพราะแสดงมาตลอด 5 ปีแล้ว ก็พอจะเป็นคำตอบของภาพที่จะเกิดขึ้นในสภา เมื่อมีคนเสนอให้แคนดิเดตนายกฯ แสดงวิสัยทัศน์ว่าหน้าตาจะออกมาอย่างไร บรรดาองครักษ์พิทักษ์ท่านผู้นำเผด็จการคงประท้วงกันหน้าสลอน ทั้งส.ส.พรรคใหญ่พรรคจิ๋ว รวมไปถึงส.ว.ลากตั้งทั้งหลาย ที่เห็นแนวคิดแล้วเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยจำนวนเสียงส.ว.ลากตั้ง เมื่อโหวตร่วมกับพรรคสืบทอดอำนาจ คงยากที่ฝ่ายตรงข้ามจะชนะได้ ที่นี้คงเหลือแต่ประเด็นอภิปรายที่มาของส.ว.กับคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกฯ โดยประเด็นแรกนั้น ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภายืนยันแล้วว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะจะให้สิทธิ์สมาชิกอภิปรายอย่างเต็มที่ ส่วนจะทำให้การพิจารณาโหวตนายกฯ นานเกินไปหรือไม่นั้น คิดว่าจะใช้เวลากี่วันก็ได้

ประธานใหญ่ไฟเขียวขนาดนี้ ต้องไปวัดกันหน้างานอีกทีว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ได้ให้สัมภาษณ์หรือไม่ สุดท้ายก็คงต้องวกกลับไปดูที่มติของพรรคประชาธิปัตย์ต่อการร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐ หากเห็นด้วยกับการโหวตหนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ การปฏิบัติหน้าที่ของชวนคงเป็นไปอีกแบบ เพราะดูแนวโน้มแล้วคือท่านผู้นำคงไม่ไปปรากฎตัวในที่ประชุมรัฐสภาแน่ โดยหาเหตุอ้างว่าเป็นเรื่องของสมาชิกที่มีตำแหน่งว่ากันไป

เริ่มเห็นสัญญาณต่อการร่วมรัฐบาลพปชร.ของพรรคเก่าแก่แล้ว จากการทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ของ มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ระบุว่า “ร่วมรัฐบาลกับลุงค่ะ ไม่มีอย่างอื่นประเทศต้องเดินหน้า นายกฯ มาจากรัฐธรรมนูญ ประชาธิปัตย์ก็นักเลงพอคบได้ใจถึง” หากเป็นแค่รองโฆษกพรรคเหมือนเมื่อก่อนอาจฟังดูเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว แต่วันนี้เจ๊ติ่งเป็นถึงกรรมการบริหารพรรค ก็น่าที่จะเห็นทิศเห็นทางกันมากทีเดียว ส่วนข้ออ้างที่จะบอกกับประชาชน ถ้าถอดจากสารที่ส่งมาก็คงคาดเดากันได้ไม่ยาก

ฟากของพรรคสืบทอดอำนาจ เที่ยงวันนี้ นัดแถลงข่าวตั้งรัฐบาล โดยมี อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พร้อมด้วย ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เลขาธิการพรรครวมพลังประชาชาติไทย  สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ชัชวาลย์ คงอุดม  หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทย ดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย และ ไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ร่วมแถลงที่โรงแรมสุโกศล

ขณะที่ 3 พรรคอย่าง ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ คงรอการประกอบพิธีกรรมประชุมกรรมการบริหารพรรค ลงมติรับรองพร้อม (ข้ออ้าง) ถ้อยแถลงที่จะบอกกับประชาชนว่าเหตุใดจึงตัดสินใจสนับสนุนพรรคสืบทอดอำนาจ เหลือเพียงแค่เท่านี้จริง ๆ ที่เหลือก็รอไปดูลิเกในโรงวันพรุ่งนี้ จะปาหี่ จะอุ้มสมยกก้นผู้นำเผด็จการกันอย่างไร