พาราสาวะถี
ถอดรหัสกันมาหลายวัน เพิ่งเก็ตตาม ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตขุนคลังที่หยิบเอาบทความของนิตยสารดิอีโคโนมิสต์ในอังกฤษต่อมุมมองที่มีต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งแนะนำให้คนไทยไปอ่าน แอนิมอล ฟาร์ม ก่อนหน้าที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในนวนิยายดังกล่าว หมูหัวโจกประกาศก้องว่า “สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกันนะ เพียงแต่สัตว์บางตัวจะเท่าเทียมกันมากกว่าสัตว์ตัวอื่น” นิตยสารดิอีโคโนมิสต์วิเคราะห์ว่า “สัตว์ที่มีความเท่าเทียมมากกว่าตัวอื่นก็คือ 250 ส.ว.ที่หัวหน้าคสช.เลือกมากับมือนี่เอง”
อรชุน
ถอดรหัสกันมาหลายวัน เพิ่งเก็ตตาม ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตขุนคลังที่หยิบเอาบทความของนิตยสารดิอีโคโนมิสต์ในอังกฤษต่อมุมมองที่มีต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งแนะนำให้คนไทยไปอ่าน แอนิมอล ฟาร์ม ก่อนหน้าที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในนวนิยายดังกล่าว หมูหัวโจกประกาศก้องว่า “สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกันนะ เพียงแต่สัตว์บางตัวจะเท่าเทียมกันมากกว่าสัตว์ตัวอื่น” นิตยสารดิอีโคโนมิสต์วิเคราะห์ว่า “สัตว์ที่มีความเท่าเทียมมากกว่าตัวอื่นก็คือ 250 ส.ว.ที่หัวหน้าคสช.เลือกมากับมือนี่เอง”
เหตุผลที่พลเอกประยุทธ์แนะให้ประชาชนชาวไทยอ่านแอนิมอล ฟาร์ม ก็เพื่อให้ทำใจ เพื่อให้รับสภาพ 250 ส.ว.ที่ตัวเองแต่งตั้งให้มีความเท่าเทียมกันแต่เท่าเทียมมากกว่าผู้อื่นนั่นเอง ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ฟังวิสัยทัศน์และเหตุผลเพื่อรองรับตัวเองของส.ว.ลากตั้งทั้งหลาย มาโดยกลไกของรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ พยายามจะอ้าง 15 ล้านเสียงที่เห็นชอบกฎหมายที่ร่างโดยองคาพยพเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้กันอยู่ว่า กระบวนการและกลไกที่ใช้ก่อนทำประชามตินั้นเป็นอย่างไร
ไม่มีอะไรจะต้องเสีย เมื่อบางคนได้ดิบได้ดีจากอำนาจปลายกระบอกปืนมายืนยงนับตั้งแต่หลัง 19 กันยายน 2549 อุปโลกน์ระบอบทักษิณมาเป็นเกราะกำบัง พร้อมแสดงบทบาทอุ้มสมเผด็จการตอบสนองทุกท่วงท่าลีลา มีหรือจะไม่ได้พาเหรดยึดเก้าอี้ลากตั้ง บวกเข้ากับองคาพยพอย่างหนาเรียกพี่ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่รอยลโฉมหน้าตาครม.ประยุทธ์จากการเลือกตั้ง จะคลอดออกมาแล้วประชาชียอมรับ ฝากความหวังไว้ได้ หรือจะมีเสียงร้องยี้กันอื้ออึง
พิจารณาจากการต่อรองตำแหน่งของพรรคตัวแปรสำคัญกับพรรคสืบทอดอำนาจแล้ว พอจะเห็นรอยปริแยกอยู่พอประมาณ ไม่อยากนึกภาพว่า ถ้าได้ตามขอขณะที่อีกฝ่ายก็ให้แบบเสียมิได้ มันจะสอดประสานกันลงตัวอย่างไร แต่หากตั้งโจทย์ไว้แบบเดียวกันคือประชาชนผู้เดือดร้อนรอการแก้ไขอยู่ สิ่งที่เลวร้ายอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างตั้งป้อมและมีเป้าหมายเพื่อแสวงหาปัจจัยที่ได้ลงทุนกันไปช่วงเทศกาลเลือกตั้ง อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน
เห็นท่าทีจากลูกไล่ลิ่วล้อของพรรคสืบทอดอำนาจที่ซัด “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ว่าด้วยหวังกระทรวงสำคัญอย่างคมนาคมหวังหาทุนเข้าบริษัทตัวเอง เช่นนี้คงไม่ใช่เป็นเรื่องของเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดโดยไม่คิดหรือไม่มีผู้ใหญ่คอยให้ท้ายเป็นแน่ เห็นอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยถึงขั้นลั่น “ต้องเอาตะกร้อครอบปาก” งานนี้แรงสั่นสะเทือนไม่ธรรมดา ซึ่งพอจะเข้าใจพรรคสืบทอดอำนาจ คงพยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่ได้ผล จึงต้องให้คนที่ถนัดพูดออกมาเล่นกันแรง ๆ
ทุกอย่างมันฟ้อง เมื่อต้องการเสียงสนับสนุนทั้งการสืบทอดอำนาจและการอยู่ต่อด้วยเป้าประสงค์อะไรก็ตาม มันต้องยอมกันทุกอย่าง แต่ก็นั่นแหละ สัจจะไม่มีในหมู่โจรฉันท์ใด คำพูดของนักการเมืองก็ไม่ต่างกัน บรรดาแกนนำโดยเฉพาะ 4 อดีตรัฐมนตรีคงรู้ซึ้งแล้วว่า การเล่นการเมืองเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ว่ามีกติกาที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา หอบเงินถุงเงินถังปูพรมกันทั้งประเทศแล้วทุกอย่างจะง่ายดาย พวกเขี้ยวลากดินไม่มีทางที่จะตีกินกันได้ง่ายๆ
ยิ่งใกล้หมดเวลาของอำนาจเผด็จการ และมองเห็นกันว่าแม้จะมีมาตรา 44 ในมือ แต่พอผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ก็ยากที่ผู้นำเผด็จการจะงัดออกมาใช้ได้โดยง่าย เพราะหากเกิดกระแสลุกฮือโดยที่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง เหตุการณ์นองเลือดในอดีตเป็นเครื่องเตือนสติได้อย่างดี ด้วยเหตุนี้ไง ไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ จึงสะกิดท่านผู้นำอย่างตรงไปตรงมา หมดเวลาเกรงใจประยุทธ์กันแล้ว
พลันที่ตัดสินใจกระโจนเข้าสู่สนามการเมือง ทันทีที่ลั่นวาจาว่าเป็นอดีตทหารที่เข้ามาทำงานทางการเมือง แล้วจัดการทุกอย่างเพื่อปูทางให้พรรคของเราได้เป็นรัฐบาล ให้ตัวเราได้กลับมามีอำนาจอีกกระทอก นั่นหมายความว่า ศักยภาพการเป็นผู้นำเผด็จการเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เกิดขึ้นรอบตัวพลเอกประยุทธ์เวลานี้ และสิ่งที่เห็นผ่านการไปเจรจาของพรรคที่ตัวเองอยู่เบื้องหลังอย่างพลังประชารัฐ ไม่มีใครเกรงใจกันอีกแล้ว ไม่มีใครยอมฟังหัวหน้าคสช.อีกต่อไป
ไม่ต้องไปพูดถึงการไปชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันกับพรรคการเมืองอื่น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะในวันที่อำนาจพิเศษในฐานะคสช.หมดไป พลเอกประยุทธ์ก็เป็นแค่นักการเมืองคนหนึ่ง มีสถานะเทียบเท่ากับนักการเมืองทั่วไป ปัญหาภายในพลังประชารัฐ กลุ่มก๊วนต่าง ๆ ซัดกันเละใส่กันนัว ไม่มีใครยอมใคร แค่เท่านี้ยังจัดการให้อยู่หมัดไม่ได้ แล้วจะไปจัดการกับพรรคที่มีเสียงอันสำคัญต่อการอยากอยู่ยาวและต้องการเก้าอี้สำคัญได้อย่างไร
ในทางทฤษฎีมีความพยายามจะอธิบายถึงการมีเสียงปริ่มน้ำ แต่มีส.ว.ลากตั้งค้ำยันเหนียวแน่น น่าจะพากันประคับประคองให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจอยู่ยาวไปได้เท่าที่ต้องการ ทว่าปัจจัยรายทางไม่มีใครคาดเดาได้ แม้จะมองโลกในแง่ดีข่าวที่ออกมา มีทั้งจริงและสร้างกระแส แต่ใครจะกล้าปฏิเสธว่า ทุกท่วงท่าของประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยต่อการร่วมรัฐบาลครั้งนี้ หวังสร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฎแล้วพาเพื่อนร่วมเดินไปด้วยกันให้ตลอดรอดฝั่ง
ความต้องการที่แท้จริงของทั้งสองพรรคคือ เตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว โจทย์ของพรรคเก่าแก่คือยึดคืนป้อมค่ายที่ถูกตีกระเจิงไปจากการเลือกตั้งหนนี้ ขณะที่ภูมิใจไทยก็หวังต่อยอดนโยบายขายฝันอย่างกัญชาให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เหมือนที่ไทยรักไทยเคยทำไว้ตอน 30 บาทรักษาทุกโรค ถ้าเข้าล็อคเป็นไปตามแผนแค่เท่านี้ก็ถือว่าสำเร็จแล้วกับการถูกโจมตีเรื่องโกหกประชาชน
กลยุทธ์ทางการเมือง เมื่อเลือกเดินแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้กลไกเข้าไปศึกษากลวิธีของคู่ต่อสู้ อย่าลืมเป็นอันขาดว่า พรรคที่ทำให้ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยิน หาใช่เพื่อไทย อนาคตใหม่อาจมีส่วนอยู่บ้าง ที่สร้างผลกระทบจน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องพักวางทางการเมืองคือการเกิดขึ้นและพลังดูดของพรรคสืบทอดอำนาจนั่นเอง เบื้องหน้าอาจเห็นว่าพวกเดียวกันตั้งแต่ก่อน ระหว่างและหลังยึดอำนาจ แต่หลังจากที่เขาอยากอยู่ยาว กลายเป็นว่าคนกันเองก็ไม่เว้น ดังนั้น แค้นนี้จึงต้องรอวันที่จะชำระ