พาราสาวะถี
เรื่องอื่นยังพอติ๊ดชึ่ง วนหนีทางหมัดและอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ประคองเอาตัวรอดให้หมดยกไปได้ แต่กรณีของ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กับภาพถ่ายตอนเป็นบัณฑิตสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ คงยากที่จะสลัดให้หลุดจากการไล่ล่าได้ ส่วนจะลามไหลไปถึงพรรคต้นสังกัดหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าตัว และรวมถึงผลแห่งคดีที่ขณะนี้ฝ่ายคุมกฎหมายกำลังดำเนินการเพื่อจัดหนัก นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลแห่งกรรมเก่า
อรชุน
เรื่องอื่นยังพอติ๊ดชึ่ง วนหนีทางหมัดและอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ประคองเอาตัวรอดให้หมดยกไปได้ แต่กรณีของ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กับภาพถ่ายตอนเป็นบัณฑิตสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ คงยากที่จะสลัดให้หลุดจากการไล่ล่าได้ ส่วนจะลามไหลไปถึงพรรคต้นสังกัดหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าตัว และรวมถึงผลแห่งคดีที่ขณะนี้ฝ่ายคุมกฎหมายกำลังดำเนินการเพื่อจัดหนัก นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลแห่งกรรมเก่า
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้เป็นความผิดส่วนบุคคล ก็ต้องปล่อยให้กระบวนการของกฎหมายได้ทำหน้าที่ไปให้สุดทาง พวกที่จ้องจะเล่นงานหรือเปิดผลขยายแผลก็ควรหยุด ไม่ใช่ไล่ขยำอย่างเมามัน สุดท้ายปลายทางก็จะหนีไม่พ้นคนไทยแตกแยกและอาจบานปลายไปถึงการเผชิญหน้า ถ้าเจตนาดีและมีเป้าหมายเดียวกัน ก็ต้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามกบิลเมือง
แต่หากใครมีแผนที่จะใช้ประเด็นเหล่านี้บดขยี้ฝ่ายตรงข้าม ก็ให้ฟัง ไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่โพสต์เฟซบุ๊กเตือน “การสร้างความแตกแยกภายในชาติและผลักไสไล่ส่งคนที่เห็นต่างให้ไปอยู่ตรงกันข้ามนั้นเป็นอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง ใครที่เป็นต้นคิด ต้นตอเรื่องนี้ ควรจะคิดใคร่ครวญให้รอบคอบ อีกไม่นานจะเข้าฤดูฝนแล้ว ระวังให้ดี !!”
เช่นเดียวกับ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ออกมาโวยการจัดตั้งกลุ่มนักรบไซเบอร์ ออกโจมตีบุคคลที่เห็นแตกต่างหรือวิจารณ์รัฐบาลด้วยถ้อยคำที่ยั่วยุ ดูถูก ทำให้เกลียดชัง กล่าวหา ทำลายความน่าเชื่อถือของคนที่แสดงความเห็นบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังที่จะลดความน่าเชื่อถือของผู้ให้ความเห็นแตกต่าง ข่มขู่ผู้อ่าน ผู้ติดตามไม่ให้แสดงความเห็น หวังสยบความเห็นที่แตกต่าง การกระทำดังกล่าว ต้องระมัดระวัง ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลในระยะยาว เพราะเป็นการผลักมิตรไปเป็นศัตรูกับรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด คนที่เพิ่งกระโดดลงมาใช้โซเชียลเต็มตัวก่อนประกาศตัวเป็นนักการเมืองอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมรู้ดีว่า ผลกระทบของการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางที่ผิดนั้นเป็นอย่างไร จากที่เคยตำหนิและด่าทอต่อว่าพวกไม่หวังดีมาตลอด 5 ปี งานนี้เห็นทีจะปล่อยผ่านไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเห็นฝ่ายรัฐบาลหรือพวกตัวเองได้เปรียบ หากแต่ถ้าเป้าหมายของการยึดอำนาจคือหยุดความแตกแยกยังมีความสำคัญอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้จะต้องทำให้ยุติให้ได้
ออกโรงตะโกนดัง ๆ การจัดวางรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจแต่เพียงผู้เดียว พร้อมปฏิเสธการมีโควตาเสนาบดีอยู่ในมือ นี่คือการวางทางถอยหรือเปิดเกมรุกทางการเมืองของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กันแน่ แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า หลังจากที่เห็นกระบวนการเจรจาของหัวหมู่ทะลวงฟันอย่าง อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ตกเป็นเบี้ยล่างของสองพรรคตัวแปรสำคัญ จนทำท่าว่าจะสูญเสียกระทรวงเกรดเอไปทั้งหมด
จะว่าไปแล้ว น่าจะเข้าใจบริบททางการเมืองเมื่อไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการที่ผู้นำสามารถทุบโต๊ะเปรี้ยง ชี้นิ้วให้ทุกคนต้องก้มหัว ยอมรับสภาพสิ่งที่ได้จัดวางไว้ให้ การเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคและเสียงของพรรคที่ตัวเองกุมบังเหียนอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เสียงข้างมากเด็ดขาด จะใช้โมเดลเหมือนยุคไทยรักไทยที่เคยไปสังกัดและผลิตสร้างชุดผลงานอันเป็นการสร้างชื่อให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ การเมืองแห่งยุคปฏิรูป (ถอยหลัง) มันมีแต่ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลง่อนแง่นและพรรคการเมืองอ่อนแอ
สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่า ในระนาบกระทรวงเกรดเอที่เป็นเรื่องความมั่นคงนั้น โควต้าของทีมบูรพาพยัคฆ์ก็ยึดไว้หมด แล้วที่เหลือจะไม่ยอมเกลี่ยให้พรรคร่วมโดยเฉพาะของสองพรรคการเมืองสำคัญ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ตัวเองได้กินครีมอย่างดีแล้วปล่อยให้พวกที่มาช่วยหนุนส่งให้สืบทอดอำนาจสำเร็จรับประทานอุจจาระหรือเศษเนื้อข้างเขียง มันไม่น่าจะใช่
เพราะจะว่าไป หากใช้เหตุผลต้องไม่มีคนโกงมาร่วมรัฐบาลสุจริต (ในฝัน) ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ โดยหวังจะเดินตามรอยรัฐบุรุษผู้ล่วงลับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นิ้วที่ชี้ออกไปตราหน้าเพื่อนร่วมรัฐบาล มันก็จะวกกลับมาที่ตัวเองอีกหลายนิ้ว แล้วคนที่ได้ตำแหน่งตั้งแต่ยังไม่ตั้งรัฐบาล มีกี่คนที่สังคมยังเคลือบแคลงต่อความโปร่งใส คงไม่ต้องบอกว่ามีใครบ้าง พอเกิดภาวะน้ำท่วมปาก การจะไปไล่ทุบเหมือนตอนใช้อำนาจเผด็จการมันจึงทำไม่ได้
ขณะเดียวกันหัวขบวนการในเจรจาเพื่อดึงเสียงของสองพรรคตัวแปรมาร่วม ก็รู้กันอยู่ว่าไม่ใช่มีเพียงแค่อุตตม-สนธิรัตน์เท่านั้น การดีลกันในค่ายทหารเหมือนที่เคยใช้คราวปลุกปั้นรัฐบาลเทพประทาน เป็นที่มาสำคัญของการยืนกระต่ายขาเดียวของทั้ง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่า ดีลทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีสัญญาณใด ๆ จากพรรคแกนนำ หรือความจริงคือปิดรับสัญญาณใด ๆ นับตั้งแต่ตกลงปลงใจยกมือให้ ชวน หลีกภัย ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และเปล่งวาจาหนุนท่านผู้นำให้อยู่ต่อแล้ว
ฟากพรรคฝ่ายค้านที่มีเพื่อไทยเป็นหัวขบวน นอกเหนือจากการตั้งท่ารอซักฟอกรัฐบาลสืบทอดอำนาจแล้ว คงเป็นการขยับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ยังมีการมองต่างมุมกับพรรคอนาคตใหม่ โดยที่พรรคน้องใหม่เห็นว่าน่าจะแก้รายมาตราคือ 272 ที่ให้ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกฯ กับมาตรา 279 ที่นิรโทษกรรมให้กับคสช. แต่ก็มีเสียงมาจาก วันชัย สอนศิริ ส.ว.ลากตั้งทันทีทันใด ความพยายามที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างปัญหาการเมืองมากกว่าใช้รัฐสภาแก้ปัญหาของบ้านเมืองและยัดเยียดข้อหาปลุกระดมประชาชนเสร็จสรรพ
แต่ คารม พลพรกลาง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อนาคตใหม่ก็ออกมาสวนทันควันส.ว.ลากตั้งพวกนี้หวงอำนาจ และไม่ต้องอ้างผลการทำประชามติ เพราะเป็นที่รู้กันไปทั่วโลกการทำประชามติที่เกิดขึ้นภายใต้มาตรา 44 ไม่เสรีและเป็นธรรม มีการสร้างวาทกรรมให้รับไปก่อนค่อยแก้ที่หลัง อีกทั้งฝ่ายคัดค้านไม่อาจรณรงค์ได้อย่างเต็มที่ มีการจับกุมคุมขังคนที่เห็นต่าง ซึ่งคือความจริงที่พวกลูกไล่เผด็จการไม่เคยพูดถึง นี่คือเริ่มต้นยังปะฉะดะกันขนาดนี้ ถ้าขยับกันจริง ๆ คงได้เลือดเดือดกันเป็นแน่