พาราสาวะถี
คงไม่มีอะไรพลิกโผกันอีกแล้วกับรายชื่อรัฐมนตรีชุดสืบทอดอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะฟังน้ำเสียงจากท่านผู้นำนี่คือการยืนยันความเป็นนักการเมืองเต็มตัว และเข้าใจสภาพการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี จากที่เคยด่านักการเมืองแบบสาดเสียเทเสียนับแต่สวมหัวโขนหัวหน้าคสช. แต่วันนี้คนเดิมคนนั้นกลับบอกว่า “ถ้าผมไม่ฟังนักการเมือง ไม่ร่วมมือกันจะไปได้หรือไม่” จิ้งจกที่ว่าแน่ ๆ ยังต้องชิดซ้ายกันเลยทีเดียว
อรชุน
คงไม่มีอะไรพลิกโผกันอีกแล้วกับรายชื่อรัฐมนตรีชุดสืบทอดอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะฟังน้ำเสียงจากท่านผู้นำนี่คือการยืนยันความเป็นนักการเมืองเต็มตัว และเข้าใจสภาพการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี จากที่เคยด่านักการเมืองแบบสาดเสียเทเสียนับแต่สวมหัวโขนหัวหน้าคสช. แต่วันนี้คนเดิมคนนั้นกลับบอกว่า “ถ้าผมไม่ฟังนักการเมือง ไม่ร่วมมือกันจะไปได้หรือไม่” จิ้งจกที่ว่าแน่ ๆ ยังต้องชิดซ้ายกันเลยทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ยิ่งได้ฟังผู้นำเผด็จการเปล่งวาจาด้วยความภาคภูมิใจวันนี้ทุกอย่างเข้ามาด้วยกระบวนการประชาธิปไตยเต็มร้อย โดยไม่ต้องมองร่องรอยที่ผ่านมาตลอด 5 ปีว่ากว่าจะได้เลือกตั้งนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อท่านสบายใจและเชื่อมั่นว่าจะนำพารัฐนาวาภายใต้การนำของตัวเองไปตลอดรอดฝั่ง และสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทำให้คนไทยประเทศไทยมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ดังคำโฆษณาชวนเชื่อจริง ก็คงต้องให้โอกาส
แต่โอกาสที่ประชาชนจำต้องยอมรับนั้น คงจะมีได้ไม่นาน หากเริ่มงานแล้วยังไม่เป็นโล้เป็นพาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน หนทางในวันข้างหน้าก็อย่าได้เที่ยวกล่าวหาหากจะมีม็อบของกลุ่มความเดือดร้อนออกมาเคลื่อนไหวว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง เพราะไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการและไม่มีฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องมาต่อต้านอะไรอีกแล้ว มีแค่ผลงานดีอยู่ได้นานหรือผลงานแย่แล้วรอประชาชนลุกฮือมาเรียกร้อง ขับไล่เท่านั้น
หันไปมองกระทรวงต่าง ๆ ที่จับจองกันไว้ เป็นอันชัดเจนว่า ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับคนที่อยากได้เก้าอี้ตามต้องการภายในพรรคสืบทอดอำนาจ เพราะท่านผู้นำย้ำหนักแน่น รัฐบาลเที่ยวนี้มีนักการเมืองมาด้วย ตนจะเอาคนนอกได้อย่างไร มันต้องมาจากพรรคการเมืองหมด รัฐมนตรีต้องมาจากนักการเมืองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ใช้วิธีที่ตนตัดสินใจเพียงคนเดียว มันไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกที่โยนเผือกร้อนไปให้เคาะเพื่อหวังส้มหล่นต้องรับประทานแห้วกันเป็นแถว
ด้วยเหตุนี้กระมัง ทำให้คนของพรรคประชาธิปัตย์อย่าง เทพไท เสนพงศ์ ถึงกล้าประกาศดัง ๆ ให้บิ๊กตู่เดินหน้าเร่งตั้งรัฐบาลเพื่อที่จะได้เข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเสียที หลังจากยืดเยื้อคาราคาซังมานานกว่า 2 เดือน พร้อมกับคุยฟุ้งการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ต้องเป็นห่วงเพราะพรรคเก่าแก่คุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และพาณิชย์เอง ดังนั้น นโยบายที่จะขับเคลื่อนเพื่อขจัดความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรต้องดำเนินการได้ทันที
ไม่รู้ว่าเป็นอาการหลุดหรือจงใจพูดเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับสภาพว่า ข้อตกลงที่มีอยู่นั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างได้ตามขอที่เหลือก็เป็นเรื่องภายในพรรคที่จะจัดสรรคนลงไป จนถึงขณะนี้บุคคลที่อยู่ในข่ายของพรรคเก่าแก่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นิ่งสนิทก็เก้าอี้ของ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กับ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่คนแรกควบรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ขณะที่รายหลังนั่งว่าการเกษตรฯ โดยที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยังรอเคาะชื่อกันอยู่เช่นเดียวกันเก้าอี้รัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง
ฟากของภูมิใจไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน มีเปลี่ยนตัวแค่รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา ที่ ดอกเตอร์นาที รัชกิจประการ เหรัญญิกพรรคถอยให้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ สามีสุดเลิฟขึ้นลิฟต์มานั่งว่าการ แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายและไม่มีเสียงทักท้วงใด ๆ จากสมาชิกพรรค อย่างที่รู้กันนอกเหนือจาก อนุทิน ชาญวีรกูล ที่เป็นผู้ดูแลพรรคแล้ว สองสามีภรรยาก็ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของพรรคแห่งนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
สิ่งที่น่าสนใจคงเป็นส่วนของพรรคสืบทอดอำนาจเอง ที่ท่านผู้นำต้องกระเตงเอาพี่ใหญ่และพี่รองมาร่วมในสัดส่วนคนนอกด้วย แน่นอนว่าภาพจำของคนที่มีต่อผู้ซึ่งท่านผู้นำอุ้มสมมานั้นเป็นอย่างไร เพราะเข้าใจในเรื่องนี้ น้องเล็กจึงตวาดใส่นักข่าวทันทีเมื่อถูกถามด้วยคำตอบ “รังเกียจอะไรกันนักหนา ขอบคุณที่เป็นห่วง” ถ้าไม่ตระหนักต่อภาพในอดีตที่เพิ่งผ่านไป ผู้นำสืบทอดอำนาจคงไม่ต้องมานั่งถ่างขาว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยตัวเอง
ขณะที่โควตาคนนอกอีก 2 เก้าอี้ก็อย่างที่คาด วิษณุ เครืองาม และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต้องกลับมา โดยรายของเฮียกวงหลังจากที่ออกอาการถอดใจเพราะเสียกระทรวงเกรดเอไปให้พรรคร่วมรัฐบาล แต่เมื่อจัดสรรเก้าอี้ให้กับเด็กในคาถาแล้วก็ถือว่าไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ เพราะ “สี่กุมาร” พาเหรดกลับมายึดเก้าอี้เสนาบดีกันครบครัน โดย อุตตม สาวนายน นั่งว่าการคลัง สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ว่าการอุตสาหกรรม สุวิทย์ เมษินทรีย์ ว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กอบศักดิ์ ภูตระกูล ว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เสียหายและเสียหน้าบ้างแต่ไม่ถือว่าเสียศูนย์ เพราะอย่างน้อยสองกระทรวงหลังจะถือเป็นงานที่สร้างชื่อให้กับคนที่เข้าไปบริหารจัดการอันเนื่องจากเป็นกระทรวงใหม่ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปั้นนโยบายไทยแลนด์ 4.0 แต่ทั้งหมดคงขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจหลังที่เฮียกวงจะกำกับดูแล สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกันกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ หากเข้าอีหรอบเดิมคือต่างคนต่างทำหรือแย่งชิงผลงานเป็นของพรรคตัวเอง เพื่อหวังผลเลือกตั้งครั้งหน้า ก็เอวัง !
ส่วนที่จับตามองกันเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นหัวโขนของ สมศักดิ์ เทพสุทิน ผู้ที่หมายปองกระทรวงเกษตรฯ แต่สุดท้ายกลับไปจบที่นั่งว่าการยุติธรรม ไม่รู้งานนี้จะร้องไห้อีกหรือไม่ และไม่รู้ว่าเป็นอาถรรพ์ส่วนตัวของเจ้าตัวหรืออย่างไร เพราะสมัย ทักษิณ ชินวัตร ว่าการที่กระทรวงนี้อยู่ดี ๆ ก็ถูกคนมาแย่ง จนต้องไปยืนร้องไห้หน้ากระทรวงมาแล้ว
แต่คงพอจะเยียวยาอาการอกหักและรักษาหน้ากันได้เมื่อ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำสามมิตรด้วยกันได้ไปนั่งว่าการพลังงาน โดยคู่แข่งสำคัญจากซีกกปปส.อย่าง ณัฐพล ทีปสุวรรณ ไปเป็นรมว.ศึกษาธิการ เหล่านี้คือการคาดการณ์ ทุกอย่างพลิกผันได้เสมออย่างที่ ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้มีประสบการณ์ออกมาเตือนล่าสุด คนที่มองว่าจะได้เป็นถ้ายังไม่ได้รับการแจ้งจากผู้มีอำนาจตัวจริงก็อย่าเพิ่งตีอกชกตัว ส่วนประชาชนที่เชียร์ใครก็เตรียมทำใจเผื่อด้วยละกัน