พักตัวพักใจ
*ภาพการเคลื่อนไหวของดัชนีท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงเป็นการย่อตัว แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นรอบนี้บ่งบอกว่าแนวรับ 1,650 จุดจะกลายเป็นจุดแข็ง เมื่อได้เห็นดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,667.38 จุด และมีแรงดันกลับขึ้นมา สุดท้ายมาลงเอยที่ระดับ 1,672.33 จุด ลบไป 1.81 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.24 หมื่นล้านบาท ทำให้เริ่มมีความหวังว่าการปรับตัวลงเที่ยวนี้เพื่อให้ทุกอย่างแน่นขึ้น และเทรนด์ของหุ้นจะกลับเป็นขาขึ้นเมื่อมีแนวรับที่แข็งแกร่ง
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ภาพการเคลื่อนไหวของดัชนีท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงเป็นการย่อตัว แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นรอบนี้บ่งบอกว่าแนวรับ 1,650 จุดจะกลายเป็นจุดแข็ง เมื่อได้เห็นดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,667.38 จุด และมีแรงดันกลับขึ้นมา สุดท้ายมาลงเอยที่ระดับ 1,672.33 จุด ลบไป 1.81 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.24 หมื่นล้านบาท ทำให้เริ่มมีความหวังว่าการปรับตัวลงเที่ยวนี้เพื่อให้ทุกอย่างแน่นขึ้น และเทรนด์ของหุ้นจะกลับเป็นขาขึ้นเมื่อมีแนวรับที่แข็งแกร่ง
*สาเหตุที่ “โมนิก้า” เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น มาจากการไล่เคาะซื้อหุ้นหลาย ๆ ตัวของฝรั่งตาน้ำข้าวที่แสดงให้เห็นว่านาทีนี้หุ้นไทยยังคงน่าสนใจถือเป็นช็อตที่ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้เป็นเรื่องของการวัดความกล้ามากกว่าเรื่องอื่นเพราะขณะที่ภาพของการลงทุนดูน่าลุ้นน่ารับไปเสียหมดยังมีหุ้นบางตัวที่ไม่ตอบรับอยู่ยังไงล่ะคะ
*สิ่งที่ต้องติดตามถัดมาเป็นเรื่องของการปรับตัวของบริษัทจดทะเบียนที่จะยังคงพยุงให้ราคาสูงต่อไปเรื่อย ๆ หรือจะย่อตัวลงมาตามภาวะดัชนี สิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดคงเป็นเรื่องของการสร้างกำไรมากกว่าอย่างอื่น “เดี๊ยน” เลยต้องยังย้ำหัวหมุดว่าหุ้นที่จะยังมีแรงซื้อเข้ามามักจะเป็นหุ้นเด่นที่มีสตอรี่หนุน ซึ่งขณะนี้ต้องบอกว่าหุ้นกลาง-เล็กยังมาแรง นักเล่นต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนซื้อหรือขายตามคนอื่นเค้าว่าขณะนี้ราคาหุ้นวิ่งเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็นแล้วหรือยัง ?
*อย่างในรายของ NWR กลับสู่ทิศทางขาลงอีกครั้ง จนภาพของหุ้นอยู่ในลักษณะพักฐาน วานนี้เห็นราคาลงมาปิดที่ 0.82 บาท ลบไป 0.02 หรือขึ้นไป 2.38% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 13.17 ล้านบาท “โมนิก้า” รู้สึกไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่ เพราะหุ้นยังไม่สามารถเปลี่ยนเทรนด์การเคลื่อนไหวเสียที ! แถมผลงานไตรมาส 2/62 เห็นแววว่าจะดูไม่จืด กว่าจะฟื้นตัวได้คงเป็นช่วงครึ่งปีหลังบรรยากาศการลงทุนถึงยังไม่น่าสนใจนักเจ้าค่ะ
*ในกรณีของ JAS ยังคงถูกขายทำกำไรออกมาต่อเนื่องจนมาปิดที่ 6.40 บาท ลบไป 0.25 หรือขึ้นไป 3.76% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 490.54 ล้านบาท ช็อตการเคลื่อนไหวที่เกิดในช่วงหลัง ๆ พลอยทำให้เดี๊ยนอยากเอาใจช่วยให้ราคาวิ่งขึ้นไปแตะระดับ 7 บาท แบบเร็ววันเร็วคืน เพราะมันเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้เทรนด์ของหุ้นกลับเป็นขาขึ้นเต็มตัว แต่หากทำไม่ได้คงต้องลุ้นกันจนหืดขึ้นคอเหมือนเดิมเจ้าค่ะ
*ส่วนในรายของ GUNKUL นับเป็นการตั้งไข่รอบใหม่อย่างเต็มภาคภูมิจากภาพของการไต่ราคาขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่บริเวณ 2.60 บาท สู่ระดับ 3.18 บาท บวก 0.10 บาท หรือบวกไป 3.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 370.43 ล้านบาท แถมกูรูยังออกมาเคาะเป้าสนั่น 4.70 บาทดันอัพไซด์พุ่งกระฉูดเกือบ 50% จังหวะนี้ “โมนิก้า” มองเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจสำหรับใครที่กำลังมองหุ้นโรงไฟฟ้าอยู่ก็พิจารณากันดูนะจ๊ะ
*ด้านหุ้นน้ำมันปาล์มอย่าง VPO วิ่งแรงชนซิลลิ่งจนมาอยู่ที่ระดับ 0.62 บาท บวก 0.14 บาท หรือขึ้นไป 29.17% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 15.29 ล้านบาท ด้วยปัจจัยบวก 2 เด้ง ทั้งเรื่องการคว้าโควตาขายน้ำมันปาล์มดิบให้กฟผ. 2,000 ตัน เด้ง 2 รับผลดีเรื่องของการควบคุมราคาขายน้ำมันปาล์มที่ไม่ให้มีการขายต่ำกว่าราคาจริงหรือจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมใด ๆ คาดหนุนยอดขายเพิ่มสูงขึ้น 10 บาทต่อขวด เลยทำให้ภาพธุรกิจขณะนี้เป็นช่วงพีกสุด ๆ การที่ราคาหุ้นยังอยู่ต่ำกว่าบุ๊กบวกกับเทคนิคขาขึ้นจึงทำให้หุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้นเป็นกองเจ้าค่ะ
*ด้าน COM7 เป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดมาอยู่ที่ระดับ 21.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 1.88% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 232.95 ล้านบาท ทำนิวไฮในรอบ 7 เดือน หลังจากมีชื่อติดโผเข้าคำนวณ FTSE SET Mid Cap Index รอบใหม่จะมีผลทางการในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ บวกกับแนวโน้มกำไรปีนี้โตแกร่ง 27% จากยอดขายสมาร์ตโฟน-อุปกรณ์เสริมพุ่งทำให้หุ้นยังทะยานขึ้นไม่หยุด เป้าที่ให้ไว้ราว ๆ 23.50 บาท จึงไม่ไกลเกินเอื้อมนะจ๊ะ
*ส่วนในรายของ WHA ราคาไต่ระดับมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายพุ่งขึ้นทำลายสถิติออลไทม์ไฮมาปิดที่ 4.56 บาท บวกไป 0.16 บาท หรือขึ้นไป 3.64% ด้วยมูลค่าซื้อขายทะลักขึ้นมาถึงระดับ 2.14 พันล้านบาท เหมือนเป็นช็อตที่เข้ามาจุดประกายความหวังว่าผลงานจะออกมาสวยหรู ด้วยการตุนที่ดินในมือไม่ต่ำกว่าหมื่นไร่ รองรับนักลงทุนจีนได้สบาย ๆ ช่างสมน้ำสมเนื้อกับตำแหน่งหุ้นดาวเด่นแห่งระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจริง ๆ เจ้าค่ะ
*ปิดท้ายกันที่ NOK หลังจากกลุ่ม “จุฬางกูร” เข้ามาถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ผ่านการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเมื่อปี 2560 ก็ถึงเวลาส่งทายาทอย่าง “วุฒิภูมิ จุฬางกูร” เข้ามามีบทบาทในการบริหารธุรกิจสายการบินด้วยการนั่งเป็น CEO นกแอร์ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นที่น่าจับตาว่าตระกูลดังที่จับธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์มาอย่างคร่ำหวอดจะมีแผนและกลยุทธ์ใดที่จะช่วย “พลิกฟื้น” ให้กลับมาเป็นบริษัทที่สร้างกำไร เมื่อดูจากประวัติการทำงานของทายาทท่านนี้แล้วต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเสียด้วย นาทีนี้นกแอร์จึงเป็นบริษัทที่น่าติดตามต่อจริงไม่จริงเห็นได้จากราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 2.36 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 4.42% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.83 ล้านบาทถึงแม้จะยังมีเครื่องหมาย “C” ค้ำคออยู่แท้ ๆ…อิอิอิ