พาราสาวะถี

อรชุน

ฉากซ้ำซากในละครน้ำเน่าเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงเป็นประจำ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังอยากดู ดังนั้น ฉากในการเมืองว่าด้วยเรื่องการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกันดุเด็ดเผ็ดมันของพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นที่กลุ่มสามมิตรงัดไม้เด็ดลงชื่อขับ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พ้นเลขาธิการพรรค ก่อนจะจบลงด้วยการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของ อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคและแกนนำสามมิตรทั้ง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน จึงเป็นฉากที่ชินตาและน้ำเน่ายิ่งกว่าละคร

งานนี้ อย่าคิดว่าเกิดจากคำขู่ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องรัฐประหารซ้ำ แต่ทั้งหมดอยู่ที่การการันตีเก้าอี้ที่ต้องการพร้อมปัจจัยชดเชยความเสียสละของพวกที่ไม่ได้ตำแหน่ง การอ้างว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี(สืบทอดอำนาจ)แต่เพียงผู้เดียว เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรูดูดีตามสูตรการเมืองเท่านั้น ความจริงต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนวันที่ 1 กรกฎาคมหลังสามมิตรออกมาขย่มหนัก จนสนธิรัตน์ถอดใจแสดงความจำนงค์ไม่รับเก้าอี้รมว.พลังงาน

การขยับรอบนี้ของสามมิตรที่แข็งกร้าวจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะอ่อนยวบยาบในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของความเป็นนักการเมืองอาชีพ และสะท้อนให้ผู้มีอำนาจเต็มอย่างนายกฯ สืบทอดอำนาจได้เข้าใจว่า การจะทำงานการเมืองและอยู่กันแบบยาว ๆ นั้น ไม่ใช่แค่ว่าจ่ายกระสุนช่วงเลือกตั้งไม่อั้นแล้วจบกัน มิหนำซ้ำ ยังจะมาทวงบุญคุณกันย้อนหลัง เป็นสิ่งที่นักการเมืองที่เข้าใจกลไกไม่ทำกัน เพราะการย้ายคอกของเสือหิวทั้งหลายนั้น มันหมายถึงการต้องดูแลกันตลอดอายุรัฐบาล

ในความหมายของแกนนำไม่ได้บอกว่าผู้นำสืบทอดอำนาจต้องควักจ่ายตลอดเวลา แต่ถ้าผู้นำกลุ่มได้มีตำแหน่งแห่งหนในกระทรวงเกรดเอ นั่นหมายถึงแหล่งทุนที่จะกระจายรายได้ให้กับลิ่วล้อในสังกัด หลัก ๆ คือผ่านกระบวนการประมูลงานของภาครัฐ ยิ่งในภูมิภาคหรือจังหวัดใดมีโครงการมาก ไม่จำเป็นที่พรรคต้นสังกัดหรือแกนนำรัฐบาลจะต้องเลี้ยงดูปูเสื่อกันให้อิ่มหนำสำราญ แค่จ่ายในสัดส่วนที่เคยสัญญากันไว้เท่านั้นก็พอ

นี่คือความจริงของทุกพรรคการเมือง อย่าได้อ้างว่าพรรคโน้นมีพรรคนี้ไม่ เบื้องหลังของแต่ละกระทรวงลองไปส่องกันดู แม้แต่ส.ส.ฝ่ายค้านที่หน้าฉากถูกมองว่าเป็นศัตรูกันทางการเมือง แต่หลังฉากต่างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าทั้งสิ้น ไม่ต้องบอกว่ายุคของการปฏิรูปการจะใช้วิธีการหากินแบบเดิม ๆ ต้องไม่เกิดขึ้น และกระบวนการตรวจสอบก็เข้มแข็งขึ้น นั่นเป็นในแง่ทฤษฎีแต่ภาคปฏิบัติวิธีการซิกแซก ลอดช่องว่างไม่มีใครเก่งเกินนักการเมืองไทย

เป็นอันว่า หลังจากหยุดแรงกระเพื่อมภายในพรรคสืบทอดอำนาจได้ ส่วนจะชั่วคราวหรือถาวรนั้น คงต้องรอหลังจากที่เห็นโฉมหน้าของรัฐมนตรีทั้ง 36 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนั่นมันจะหมายถึงสิ่งที่เจรจากันไว้เป็นไปตามนั้นหรือไม่ ขณะเดียวกัน หากรายชื่อรัฐมนตรีเป็นไปตามที่ปรากฏเป็นข่าว มองกันว่า โอกาสที่จะต้องเขย่ากันเพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ตรงกับงานที่ประชาชนคาดหวังนั้น จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด

ไม่เพียงเท่านั้น ผลจากความคาดหวังของประชาชน จะเป็นแรงกดดันอันมหาศาลที่มีเวลาจำกัดให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจต้องเร่งผลิตผลงาน เพราะเห็นได้ชัดจากผลโพลที่ออกมาล่าสุด ชาวบ้านร้านรวงส่วนใหญ่ให้เวลาแก่รัฐบาลนี้พิสูจน์ฝีมือเต็มที่แค่ปีเดียว ถ้าภายในกรอบที่กำหนดยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ที่ฝันหวานว่าจะเข้ามาพลิกฟื้นแล้วอยู่ยาวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะมีอันพังพาบอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาของผู้มีอำนาจ เนื่องจากเลือกตั้งใหม่ยังไงส.ว.ลากตั้งก็ยังมีสิทธิ์เลือกนายกฯ อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม จับอาการผ่อนคลายของผู้นำเผด็จการในการแถลงข่าววันวาน มีการพูดแซว “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ พร้อมย้ำว่าไม่ได้เป็นศัตรูของตัวเอง ถือเป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งว่า แรงกดดันที่ถาโถมมาก่อนหน้านี้ได้ลดระดับลงไปในสถานการณ์ที่วางใจได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดครม.ประยุทธ์ 2 ก็จะเผยโฉมให้ได้เห็นกันภายในกลางเดือนนี้ คงไม่ต้องฉายภาพซ้ำกันหลายรอบรัฐมนตรีหน้าเดิมมีใครบ้างจะกลับมาอีก

ฟากฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังมีปัญหาตามมาไม่เลิกคือภูมิใจไทย หนนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของคนที่จะไปเป็นรัฐมนตรี แต่เป็นประเด็นของศรีภรรยาว่าที่รัฐมนตรีอย่าง พิพัฒน์ รัชกิจประการ นั่นก็คือ นาที รัชกิจประการ ที่ถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นส.ส. สมัยที่ผ่านมา งานนี้จึงเกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่าแล้วคุณสามีจะมีผลกระทบตามมาด้วยหรือไม่ พิจารณาในแง่ตรรกะเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ควรที่จะเกี่ยวข้องกัน

กระนั้นก็ตาม วิษณุ เครืองาม ก็บอกว่าแม้จะเป็นเรื่องส่วนบุคคลแต่หากพิจารณาต่อความเหมาะสม ต้องพิจารณาอีกครั้ง เอ๊ะ!ยังไง แต่ดูแล้วคงไม่มีอะไรในกอไผ่ ในเมื่อพรรคต้นสังกัดยืนยันต้องเป็นบุคคลตามที่ได้เสนอชื่อไปแล้วเท่านั้น ลำพังแค่ปัญหาภายในพรรคตัวเองก็ปวดหัวแย่แล้ว ท่านผู้นำคงไม่ไปจุ้นกับคนต่างพรรค จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย ถ้ามีปัญหากันทีหลังค่อยว่ากันเป็นกรณีไป แม้แต่เนติบริกรที่ว่าเขี้ยว ๆ ยังต้องยอมหลิ่วตาข้าง

ส่วนงานสภาผู้แทนราษฎร 7 พรรคฝ่ายค้านยังไม่ละความพยายามในการเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบกระบวนการสรรหาส.ว. แต่หนนี้เปลี่ยนญัตติใหม่ไม่ใช่คำว่าตรวจสอบแต่เป็นศึกษาที่มาของส.ว.แทน ก็ไม่รู้ว่า ชวน หลีกภัย จอมหลักการจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามบรรจุเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาหรือไม่ แต่ดูจากผลงานการปฏิเสธหนแรกงานนี้ฝ่ายค้านก็มีโอกาสรับประทานแห้วสูง เพราะสิ่งเหล่านี้คือทายาทของอำนาจเผด็จการที่ใครก็ไม่ยอมให้แตะ

ด้านผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งต้องเป็นคนจากพรรคเพื่อไทย นาทีนี้คงไม่มีใครมาเบียด สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ของพรรคนายใหญ่ได้ ขั้นตอนจากนี้เหลือเพียงแค่ กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าที่มี พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นหัวหน้าพรรคจะต้องลาออก เพื่อเปิดทางให้เลือกกันใหม่ แล้วดันสมพงษ์มานั่งเป็นหัวหน้าตามระเบียบ ทั้งหมดคาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้าทุกอย่างจะเรียบร้อย ที่เหลือก็รอดูฝีมือของพรรคที่ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นฝ่ายค้านว่าจะทำหน้าที่ได้ดีขนาดไหน