พาราสาวะถี

ความจริงเรื่องการคุ้มครองพยานหรือดูแลบุคคลที่อยู่ในข่ายได้รับอันตรายจากพวกใจอำมหิต ลงมือทำร้ายร่างกายผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางผู้คนในที่สาธารณะโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายที่มีอำนาจไม่ว่าจะตำรวจหรือทหารโดยปราศจากเงื่อนไข แต่รายของ “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กลับถูกยื่นข้อเสนอถ้าจะให้ดูแลต้องรับปากว่าจะหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงอาการปากกล้าขาสั่นของผู้เป็นเผด็จการได้อย่างดี


อรชุน

ความจริงเรื่องการคุ้มครองพยานหรือดูแลบุคคลที่อยู่ในข่ายได้รับอันตรายจากพวกใจอำมหิต ลงมือทำร้ายร่างกายผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางผู้คนในที่สาธารณะโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายที่มีอำนาจไม่ว่าจะตำรวจหรือทหารโดยปราศจากเงื่อนไข แต่รายของ “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กลับถูกยื่นข้อเสนอถ้าจะให้ดูแลต้องรับปากว่าจะหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงอาการปากกล้าขาสั่นของผู้เป็นเผด็จการได้อย่างดี

ลำพังแค่คนคนเดียวที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไร้ซึ่งมวลชนใด ๆ ทำไมถึงต้องหวาดหวั่นกันขนาดนี้ แสดงว่าประเด็นที่จ่านิวจุดให้สังคมร่วมคิดนั้น มันถูกต้อง ตรงกับสิ่งที่เผด็จการเป็นใช่หรือไม่ ลำพังข่าวที่ปรากฎออกมาในช่วงวันหยุดก่อนที่จ่านิวจะออกจากโรงพยาบาลว่าตำรวจยื่นเงื่อนไขดังกล่าว หลายคนก็คิดว่าน่าจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเป็นเพียงแค่รายงานข่าว แต่พลันที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ การันตีเท่านั้นแหละโป๊ะเชะ!

เป็นไปอย่างที่จ่านิวได้ไหว้วานให้คนช่วยพิมพ์ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก คราแรกได้ยินตำรวจพูดก็นึกว่าหูแว่ว แต่พอรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาช่วยคอนเฟิร์มจึงรับรู้แล้วว่า นี่ไม่ใช่เรื่องอำกันเล่น คำถามที่ตามมาอย่างแหลมคมก็คือ “ทำไมผมต้องยอมเสียจิตวิญญาณเสรี และค่าไถ่เพื่อให้ตัวเองอยู่อย่างปลอดภัย ด้วยการเลิกเห็นต่างจากผู้มีอำนาจอีกเหรอ”

หากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของตนนั้น มันคือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวของทุกคนในประเทศนี้ ที่ไม่ว่าใครจะมาพรากจากไปไม่ได้ มันเป็นสิทธิที่ไม่ควรให้ใครมาหยิบไปเป็นเงื่อนไขที่เอามาเที่ยวใช้ แลกเพื่อเป็น ค่าคุ้มครองในการรักษาความปลอดภัยใด ๆ หากคนที่คุมกลไกของประเทศด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จแล้วกำลังจะสืบทอดอำนาจโดยอ้างครรลองของระบอบประชาธิปไตย ยังไม่ละทิ้งความคิดเผด็จการ อย่างที่บอกหลายครั้ง มันก็ยากที่จะประสานความร่วมมือจากฝ่ายเห็นต่างได้

กรณีของจ่านิวนั้นชัดเจนเหลือเกินว่า เขาถูกทำร้ายถึง 2 ครั้ง หนล่าสุดนี่ถึงสาหัส โดยที่วันเวลาผ่านมาพอสมควร ยังไร้ซึ่งความคืบหน้าในการติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี คำถามบาดใจประการต่อมาของจ่านิวก็คือ ตนบาดเจ็บทางร่างกายอย่างหนักจากการถูกทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสันติมาโดยตลอดหลายปี นอนโรงพยาบาลเป็นสิบวัน เสียการดำเนินชีวิตปกติที่จะไปไหนแบบอิสระ ไร้ความระแวง มันก็มากเกินพอที่ตนจะต้องทำใจแล้ว

การอ้างความสงบของบ้านเมืองก็ต้องย้อนถามกลับไปว่า ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของจ่านิวพร้อมผองเพื่อนนั้น สร้างความเดือดร้อนหรือทำให้ผู้มีอำนาจสั่นสะเทือนหรือไม่ หรือเป็นเพราะว่านั่นมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมาตรายาวิเศษคุ้มกะลาหัว จึงไม่กลัวเกรงใด ๆ แต่พอได้สืบทอดอำนาจต่อแล้วมันไม่มีอาวุธหนัก จึงเกรงว่าจะทำให้อำนาจสั่นคลอน ถ้าคิดแบบนี้ก็ควรจะกลับบ้านไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ไม่ต้องมาเดินบนถนนสายการเมืองอีกต่อไป

เพราะความเป็นจริง กลไกต่าง ๆ ที่ได้วางไว้ก็คือฐานรากอันแข็งแกร่งที่จะช่วยค้ำยันให้เผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ยงคงกระพันอยู่แล้ว แค่ส.ว.ลากตั้งมีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกฯ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี นี่ก็ชัดเจนแล้วว่า เลือกตั้งอีกสมัยถ้าอยู่ครบ 4 ปี คนชื่อประยุทธ์ก็ได้กลับมาเป็นผู้นำอีกกระทอก หรืออยู่ไม่ครบเทอม ยุบสภาเลือกตั้งอีกกี่รอบก็กลับมาได้เหมือนเดิม หรือเชื่อว่าพลังประชาชนถ้าได้ลุกฮือแล้วอำนาจใดก็มิอาจขวางกั้น นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

ปมยื่นหมูยื่นแมวกับจ่านิวยังไม่จบเท่านั้น เพราะสิ่งที่เจ้าตัวอธิบายต่อมาคือ วันนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ทั้งทหารและตำรวจไปหานักกิจกรรม อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษา และอดีตนักกิจกรรมที่เลิกเคลื่อนไหว หลายสิบคน ถึงประตูบ้าน โดยอ้างว่าจะไปเพื่อดูแลความปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วไปเพื่อถามคนเหล่านั้นว่าจะทำกิจกรรมเกี่ยวกับจ่านิวหรือกิจกรรมทางการเมืองหรือเปล่า

บางคนถึงขนาดถูกขอให้หยุด ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุที่กระทำต่อประชาชน แน่นอนว่า สิ่งที่จ่านิวมองเห็นจากกรณีนี้ นี่ไม่ใช่การดูแลรักษาความปลอดภัย อย่าเอามาอ้าง นี่มันคือการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ผ่านมา 5 ปี ของคสช.ยังไม่พออีกหรือ นี่จะตั้งรัฐบาลใหม่ พยายามจะฟอกขาวว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง ใสสะอาด แต่พฤติกรรมก็ยังละทิ้งนิสัยเผด็จการกันไม่ได้ จะเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งแต่กลับสร้างบรรยากาศเหมือนรัฐบาลเผด็จการ ช่างตลกสิ้นดี

พฤติกรรมเช่นนี้กระมังจึงทำให้ ปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์ข้อความโดยยกเอาข้อคิดจาก จูดิธ บัตเลอร์ นักวิชาการ นักปรัชญาชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงเรื่องความเสมอภาคทางเพศเอกลักษณ์และพลังที่ว่า “ประชาธิปไตยอ้างประชาชนแต่ก็กลัวประชาชน” มาสื่อสารกับประชาชน เป็นภาพสะท้อนของฝ่ายยึดกุมอำนาจที่จำแลงแปลงกายจากเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตย แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่เปลือกเพราะภายในนั้นมันเต็มไปด้วยความคิดที่ต้องกดข่มทับทุกความเห็นต่างอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

เป็นธรรมดาอย่างที่บัตเลอร์ว่า ผู้คนที่มาชุมนุมกันจำนวนมหาศาลอย่างฉับพลันทันที อาจเป็นได้ทั้งบ่อเกิดแห่งความหวังและบ่อเกิดแห่งความกลัว มีเหตุผลที่ดีเสมอที่คนจะกลัวการสูญเสียและการล่มล่มสลายจากการกระทำของฝูงชน เป็นไปได้เสมอที่เราจะเห็นศักยภาพทางการเมืองจากการชุมนุมที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ นี่คือสัจธรรมของถนนสายที่เรียกว่าประชาธิปไตย ถ้าทำใจไม่ได้หรือทำได้แค่สร้างภาพเพื่อให้คนอื่นยอมรับ นั่นอาจหลอกได้แค่ตัวเองและพวกที่ดักดาน แต่คนฉลาดและรู้ทันหาได้คิดเช่นนั้นไม่

เช่นเดียวกับประเด็นเรื่องของการปลุกปั่นด้วยปมสถาบัน ไทกร พลสุวรรณ คนที่ต่อต้านระบอบทักษิณก็สะกิดเตือนดัง ๆ ประชาชนคนไทยที่เกิดบนแผ่นดินนี้ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อยู่ในสายเลือด อยู่ใน DNA อยู่แล้ว ความคิดที่จะทำอันตรายต่อพระมหากษัตริย์ไม่มีอยู่ในหัวสมอง ดังนั้น อย่าปลุกปั่นเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มพรรคพวกตนเอง ถ้าประชาชนรู้เท่าทันคนพวกนี้ก็ไม่ควรให้ความร่วมมือ ปล่อยให้ความคิดแบบขวาจัด-ซ้ายจัดตายไปจากสังคมไทยอย่างถาวรดีกว่า

Back to top button