ก้าวข้าม ‘อดีต’ ไม่ได้
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ได้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และเมื่อสาวหาต้นตอที่มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้กลับมาร้าวฉานรุนแรงอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นผลมาจากบาดแผลทางใจในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งสองประเทศนี้ยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้
พลวัตปี 2019 : ฐปนี แก้วแดง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ได้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และเมื่อสาวหาต้นตอที่มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้กลับมาร้าวฉานรุนแรงอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นผลมาจากบาดแผลทางใจในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งสองประเทศนี้ยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้
ความตึงเครียดได้กลับมารุนแรงมากขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเมื่อนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นได้ประกาศควบคุมการส่งออกวัสดุที่ใช้ในจอแสดงผลของสมาร์ตโฟนและชิปที่จะส่งไปยังเกาหลีใต้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของเกาหลีใต้มาก เรื่องนี้จึงทำให้ชาวเกาหลีใต้จำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่น
ต่อมาในวันจันทร์ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์ว่า ได้ถอดเกาหลีใต้ออกจากบัญชี “ประเทศสีขาว” ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นบัญชีประเทศที่ญี่ปุ่นเห็นว่ามีระบบควบคุมการส่งออกที่ไว้ใจได้
ความขัดแย้งล่าสุดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และประธานาธิบดี มูน แจ-อิน ไม่สามารถสร้างความคืบหน้ากันได้ในที่ประชุมจี20 เมื่อเดือนที่แล้วได้ โดยมีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไม่พอใจมากที่รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่สามารถจัดการเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเกาหลีใต้ที่ให้บริษัทญี่ปุ่นชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวเกาหลีที่อ้างว่าถูกบังคับให้ทำงานให้กับบริษัทญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ศาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินเมื่อปีที่แล้วให้บริษัทนิปปอน สตีล ชดใช้ค่าเสียหายแก่อดีตแรงงานเกาหลีที่ถูกบังคับ แต่ญี่ปุ่นกล่าวว่า ปัญหาแรงงานที่ถูกบีบบังคับนี้ ได้มีการตกลงกันไปแล้วเมื่อปี 2508 เมื่อทั้งสองประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต
ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองคาบสมุทรเกาหลีในช่วงปีพ.ศ. 2453-2488 ในช่วงนั้น นอกจากบริษัทญี่ปุ่นจะบีบบังคับแรงงานแล้ว ยังมีสตรีชาวเกาหลีจำนวนมากที่ถูกบังคับให้บริการในซ่องของทหารญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ขอโทษสตรีเหล่านี้ตามส่วนหนึ่งของข้อตกลงเมื่อปี 2558 และได้ตั้งกองทุนช่วยเหลือแก่สตรีเหล่านี้ประมาณ 1,000 ล้านเยน หรือ 9.4 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี กลุ่มที่สนับสนุน “สตรีบำเรอ” ในเกาหลีได้โจมตีเรื่องเงินกองทุนเหล่านี้ และรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยุบกองทุนนี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้ว่าญี่ปุ่นได้ออกมาเตือนว่าการกระทำเช่นนั้นอาจบั่นทอนความสัมพันธ์ทวิภาคีได้
สถานการณ์ดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นในวันอังคารที่ผ่านมาเมื่อ ญี่ปุ่นเมินข้อเรียกร้องของเกาหลีใต้ที่ขอให้เลิกจำกัดการส่งออกสินค้าไฮเทค โดยฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นไม่ได้คิดที่จะยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกสินค้าไฮเทคของญี่ปุ่นให้กับเกาหลีใต้ทั้งหมดและกล่าวว่า มาตรการควบคุมการส่งออกนี้ไม่ฝ่าฝืนระเบียบขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) นอกจากนี้ยังสำทับด้วยว่าญี่ปุ่นจะจำกัดเพิ่มเติมหรือไม่ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของเกาหลีใต้ที่มีต่อเรื่องนี้
ในขณะเดียวกัน สื่อญี่ปุ่นยังรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ของอาเบะว่า สารไฮโดรเจน ฟลูออไรด์ ที่ส่งออกไปยังเกาหลีใต้ ได้ถูกส่งไปยังเกาหลีเหนือ สารตัวนี้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ รายงานนี้จึงทำให้ ซุง ยุน-โม รัฐมนตรีอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ ออกมาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นหยุด “กล่าวอ้างโดยไร้เหตุผล” โดยทันที
ประธานาธิบดีมูน แจ-อิน ก็ออกมาปฏิเสธรายงานเรื่องสารไฮโดรเจน ฟลูออไรด์ และไม่ปฏิเสธว่าอาจจะมีมาตรการตอบโต้ญี่ปุ่น พร้อมกันนี้ ยังได้เปรย ๆ ว่าเกาหลีใต้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเตรียมรับกับความเป็นไปได้ทั้งหมด และยังยอมรับว่าสถานการณ์อาจจะกินเวลานานแม้ว่าจะมีความพยายามทางการทูตเพื่อแก้ปัญหานี้
ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในวันศุกร์นี้ ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร แต่เรื่องนี้ นอกเหนือจากจะส่งผลกระทบทางการค้าโดยตรงแล้ว อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาในด้านลบจากประชาชนของสองประเทศโดยทางอ้อม การเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่างกันมากขึ้นน่าจะทำให้การค้าและการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศถดถอยลงไปอีกในขณะที่สองเศรษฐกิจนี้ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อยู่แล้ว
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในรอบนี้ เหมาะเจาะพอดีกับที่ญี่ปุ่นกำลังจะมีการเลือกตั้งสภาสูงในวันที่ 21 กรกฎาคม ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าพรรคแอลดีพีจะชนะด้วยเสียงข้างมากอันแข็งแกร่ง ซึ่งถือเป็นโชคร้ายของเกาหลีใต้ เพราะพรรคแอลดีพีจะทำทุกอย่างเพื่อให้ฐานเสียงแข็งแกร่ง
นี่คือผลพวงของความขมขื่นในอดีตที่ยังคงตามมาหลอกหลอนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นไม่จบสิ้นทั้งที่เวลาก็ผ่านเลยมานานแล้ว เรื่องนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงผลเสียของการยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องราวและความผิดพลาดในอดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ และเป็นการฉกฉวยโอกาสของนักการเมืองที่ชอบขุดเอาเรื่องเก่ามาหนุนคะแนนนิยมในยามเลือกตั้ง
…มันน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้บ้านเราได้เหมือนกันว่า หากยังก้าวผ่านความขัดแย้งในอดีตไปไม่ได้ เราก็คงต้องจมอยู่ในวังวนเดิมไม่จบสิ้นเหมือนความขัดแย้งของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้