พาราสาวะถี

อ่อนโยน ใจเย็น เป็นคนตลก คือมุกใหม่ของผู้นำเผด็จการและพี่รองบูรพาพยัคฆ์ที่งัดออกมาหยอดเมื่อต้องทำงานร่วมกับรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมือง โดยที่เวลานี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมตัวเพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ 2/1 ต่อที่ประชุมรัฐสภาระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมทั้งความแม่นและแน่นในเนื้อหา รวมทั้งเตรียมตัวตอบโต้พรรคฝ่ายค้านกรณีที่จะอภิปรายเรื่องคุณสมบัติตัวเองด้วย


อรชุน

อ่อนโยน ใจเย็น เป็นคนตลก คือมุกใหม่ของผู้นำเผด็จการและพี่รองบูรพาพยัคฆ์ที่งัดออกมาหยอดเมื่อต้องทำงานร่วมกับรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมือง โดยที่เวลานี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมตัวเพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ 2/1 ต่อที่ประชุมรัฐสภาระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมทั้งความแม่นและแน่นในเนื้อหา รวมทั้งเตรียมตัวตอบโต้พรรคฝ่ายค้านกรณีที่จะอภิปรายเรื่องคุณสมบัติตัวเองด้วย

งานนี้ถ้าตั้งการ์ดสูง คุมอารมณ์ให้ดี ไม่มีว่อกแว่กโมโห เรื่องการต่อปากต่อคำเชื่อได้ว่าผู้นำเผด็จการไม่เป็นสองรองใคร เว้นเสียแต่จะตบะแตกแล้วตวาดลั่นสภา ขู่ปาไมโครโฟนหรือทุ่มโพเดียม ภาพก็จะออกมาอีกแบบ แต่การเดินทางมาถึงจุดนี้ได้หมายความว่าผู้นำสืบทอดอำนาจและคณะที่บริหารจัดการให้ย่อมไม่ธรรมดา รู้เส้นสนกลในและวิธีการที่จะรับมือกับพวกนักการเมืองได้เป็นอย่างดี เผลอๆจะมีการอภิปรายฝ่ายค้านกลับเสียด้วยซ้ำไป

เงื่อนเวลาจากเดิมที่กำหนดกันไว้ว่าจะใช้ 3 วัน แต่การตกลงกันระหว่างวิปรัฐบาลกับวิปฝ่ายค้าน มีบทสรุปกันที่ 2 วัน ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปราย 13 ชั่วโมงครึ่ง รัฐมนตรีและรัฐบาล ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และส.ว. 3 กลุ่มได้อภิปรายกลุ่ม 5 ชั่วโมง ส่วนของพลเอกประยุทธ์อภิปรายได้ 2 ชั่วโมงขึ้นไปไม่จำกัดเวลา ถ้ามีการพาดพิง ตอบโต้ แล้วลากยาวก็อาจจะขอขยายเวลาเพิ่มอีกวัน ซึ่งนั่นแหละจะเป็นจุดวัดความวุ่นวาย การโต้ตอบกันไปมาระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร จนมาถึงนายกรัฐมนตรี ท่าทีของฝ่ายค้านที่ดูเหมือนแข็งกร้าว แต่ก็พร้อมจะงอไม่ยอมหักอยู่เหมือนกัน คงเข้าใจว่าบางเรื่องหากเล่นเกมกันมากเกินไป ประชาชนที่ติดตามอยู่จะเบื่อหน่าย พาลทำให้ฝ่ายค้านตกเป็นจำเลยในแง่ของตัวถ่วงไม่ยอมให้ประเทศเดินหน้า หากเชื่อในแง่ของสนิมเกิดแต่เนื้อในและมองเห็นผลร้ายของเสียงปริ่มน้ำ ก็ทักท้วงและตรวจสอบกันพองาม แล้วปล่อยให้ทุกอย่างว่ากันไปตามกรรม

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไว้พิจารณา 2 เรื่องสำคัญ เรื่องหนึ่งคือกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4 ประกอบมาตรา 160(6) และมาตรา 98(17) หรือไม่ ตามที่ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน 110 คนยื่นเรื่องให้ประธานสภาฯ ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้พลเอกประยุทธ์หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง บัญญัติเงื่อนไขไว้จะต้อง “ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง” ซึ่งตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องก็ไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องที่จะทำให้เกิดความเสียหายแต่ประการใด ประกอบกับผู้ร้องไม่ได้มีคำขอในส่วนนี้ จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขที่จะสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง

อีกเรื่องคือกรณีที่ ณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ โดยมีพรรคอนาคตใหม่เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้องที่ 2 ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เห็นว่า ผู้ร้องได้ใช้สิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสองแล้ว แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม ที่ผู้ร้อง จะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ให้ผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

ทั้งนี้กรณีของพรรคอนาคตใหม่โทษที่ปรากฏตามข่าวคือยุบพรรค อย่างไรก็ตาม ปิยบุตรได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวว่า ยังไม่เห็นคำร้องของผู้ร้อง จึงยังไม่ทราบว่าผู้ร้องอ้างข้อเท็จจริงใดร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และกรณีนี้เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 49 หรือไม่ กำลังรอสำเนาคำร้องจากศาลรัฐธรรมนูญ และพร้อมชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลาที่กำหนด

ประเด็นน่าสนใจอยู่ตรงที่ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจเพียงการสั่งการให้เลิกการกระทำเท่านั้น มิใช่กรณีร้องขอให้ยุบพรรคหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยได้เพียงสั่งยกคำร้องหรือสั่งให้เลิกการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น ตรงนี้แหละที่บทสรุปสุดท้ายเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากเห็น

เป็นสิ่งที่คนโดยทั่วไปเข้าใจได้อยู่แล้วสำหรับพรรคอนาคตใหม่ เพราะจะเห็นได้จากเรื่องที่ถูกกล่าวหาประดังประเดมาโดยตลอดนับตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง ล่าสุดก็เป็นกรณีธนาธรและคณะเดินสายไปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็ถูกโจมตีว่าเป็นพวกชังชาติ แน่นอนว่าข้อกล่าวหาแบบนี้ก็ออกมาจากพวกที่เชียร์อำนาจเผด็จการสืบทอด ผลจากความร้อนแรงและถูกมองมาจะแซงหน้า ทักษิณ ชินวัตร ในอนาคต จึงต้องตกเป็นเป้าและถูกกำจัดให้พ้นทางของพวกสืบทอดอำนาจโดยเร็ว

เห็นภาพ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จูงมือ อนุชา นาคาศัย พร้อมส.ส. 40 ชีวิตเข้าแสดงความยินดีกับ อุตตม สาวนายน ที่เข้ารับเก้าอี้ขุนคลังอย่างเป็นทางการ บรรดากองเชียร์อาจจะเบาใจว่าเกาเหลาที่เคยเกิดขึ้นถึงขั้นอัปเปหิเลขาธิการพรรคสืบทอดอำนาจพ้นตำแหน่ง น่าจะไร้แรงกระเพื่อมและความบาดหมางใดๆ แล้ว หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดรอดฝั่ง คงต้องไปวัดกันในจังหวะที่จะมีการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีกันอีกรอบถ้าสงบก็แปลว่าจบกัน แต่ถ้าไม่หนนี้ไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่า ท่านนายพลที่ไร้อำนาจพิเศษก็ไม่น่าจะเอาอยู่

Back to top button