ของแถมจากภูมิใจไทย
บรรยากาศก่อนการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ดูจะไม่เป็นใจเอากับฝ่ายรัฐบาลเอาเสียเลย ฝ่ายค้านไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ฝ่ายรัฐบาลกลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในแดนสังหารเสียเอง
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
บรรยากาศก่อนการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ดูจะไม่เป็นใจเอากับฝ่ายรัฐบาลเอาเสียเลย ฝ่ายค้านไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ฝ่ายรัฐบาลกลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในแดนสังหารเสียเอง
อาทิ งานสัมมนาพรรคพลังประชารัฐอย่างเนี้ย มีสถานที่ให้เลือกตั้งเยอะแยะ กลับไม่ไป แต่ดันไปจัดเอาในรีสอร์ตที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ
ยิ่งโชว์ธีมงาน “คาวบอย ไนต์” เป็นที่อึกทึกครึกโครมเท่าไหร่ ก็ยิ่งโชว์ภาพลักษณ์เสียหายเท่านั้น เนื่องจากเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล แถมยังมี “บิ๊กป้อม” จุดแข็งรัฐบาล เดินทางไปแสดงตัวตน เป็นประธานปิดการสัมมนาเข้าให้เสียอีก
มันไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็หมิ่นเหม่ทางจริยธรรม ที่ชอบว่าคนอื่นเขาไว้
เรื่องรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยื่นใบลาออกในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 2 คน นัยว่าหนีการลงนามรับผิดชอบโครงการเตาเผาขยะ 1.3 หมื่นล้านบาท นี่ก็ดันเป็นหลักฐานชั้นดีของฝ่ายค้าน ที่จ้องจองกฐินมานานว่ามีบิ๊ก “1 ใน 3 ป.” พัวพันด้วย
ถึงวันอภิปราย 25-26 ก.ค.จริง คงดูไม่จืด
อย่างไรก็ตาม วาระการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ก็แค่เป็นรายการชำแหละกันแสบ ๆ คัน ๆ ไม่ถึงกับจะบาดเจ็บล้มตายหรอก เนื่องจากไม่มีการลงมติ
เรื่องที่ค้างคามาก่อนการอภิปรายเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่จากพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่จะลดค่าทางด่วนและอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหลือแค่ 15 บาท
ถือเป็นของแถมจากภูมิใจไทย นอกเหนือจากนโยบายกัญชา
หุ้นที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือ BEM หรือ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ก็ป่วยนับแต่นั้นเป็นต้นมาสิครับ เป็นการป่วยรอบ 2 ต่อเนื่องมาจากการป่วยรอบแรก ที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยนายอนุทิน ชาญวีรกูล เผยท่าทีว่าจะทบทวนเรื่องการยืดอายุสัมปทานทางด่วนแลกค่าปรับ
ผู้ถือหุ้น BEM กว่า 5 หมื่นรายก็เดือดร้อนสิครับ หนที่แล้วเป็นลมปากหัวหน้า แต่หนนี้เป็นลมปากเลขาธิการพรรค
จริง ๆ ผมก็เห็นด้วยกับท่านรองนายกฯ อนุทินนะครับ เพราะเรื่องนี้ควรจะได้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณากันโดยเปิดเผยสักหน่อย หากศึกษาแล้วเห็นควรยืนตามบอร์ดกทพ.ก็เดินหน้าขั้นตอนประนีประนอมกันไป
แต่หากเห็นว่าควรต้องสู้คดี ก็สู้ไปโดยยอมจ่ายในคดีที่สิ้นสุดไปแล้ว ซึ่งจะต้องชดใช้หนี้ทั้งต้นและดอกประมาณ 6,000 ล้านบาท
นักลงทุนที่ถือหุ้น BEM ก็ไม่น่าจะตกใจเกินเหตุ “ ขายหมู ” แต่อย่างใด เพราะไม่ว่าผลตัดสินจะออกมาแนวใด BEM ก็มีแต่จะได้กับได้
ส่วนแนวทางท่านเลขาธิการพรรคซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมด้วย ที่จะให้มีการปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย 15 บาทนั้น งานก็เข้าที่ BEM อีกนั่นแหละ เพราะ BEM เป็นคู่สัมปทานเดินรถกับรฟม.ซึ่งอยู่ภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคม
ส่วน BTS คมนาคมคงไม่มีอำนาจไปบังคับได้ เพราะขึ้นสังกัดกับกรุงเทพมหานคร
อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินของ BEM รวมทั้งส่วนต่อขยายหัวลำโพง-หลักสองและบางซื่อ-ท่าพระ จะจัดเก็บกันในอัตราเดิมที่ 16-42 บาท และเซ็นสัญญากันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในรูปแบบของ PPP ประเภท “เน็ต คอสต์” โดยเอกชนเดินรถ บำรุงรักษา จัดเก็บค่าโดยสาร และแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ
ถ้ารมต.ศักดิ์สยามจะหักดิบให้ลดราคา ก็จะเป็นการละเมิดสัญญาโดยแจ้งชัด คงมีคดีค่าโง่เพิ่มอีกแน่
ผู้รู้ในกระทรวงคมนาคมเขาบอกว่า หากจะต้องการลดราคารถไฟฟ้าจริง ๆ ก็คงทำได้แค่สายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่เส้นเดียวเท่านั้น เพราะเป็น PPP แบบจ้างเอกชนเดินรถ แต่ก็นั่นแหละรัฐบาลก็ต้องหาเงินชดเชยให้รฟม.ไป
กรณีจะฝืนลดราคาสายสีน้ำเงินให้ได้ ก็ต้องหาทางชดเชยให้เอกชนเช่นกัน ปัญหาว่าแหล่งเงินจะเอามาจากไหน หากเอาจากงบประมาณ ก็เท่ากับเอาเงินภาษีอากรของคนทั้งประเทศมาชดเชยให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง และแม้คนกรุงเทพฯ ด้วยกันก็ใช่ว่าจะใช้บริการรถไฟฟ้าทุกคน คนใช้รถไฟฟ้ากลับเป็นคนส่วนน้อยด้วยซ้ำ
การลดภาระค่าครองชีพประชาชน เป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี แต่หากฝืนความเป็นจริงมากไป และทำลายกฎเกณฑ์ยุติธรรมทุกกฎ ก็ไม่ควรจะดันทุรังเดินหน้าต่อ
ลมปากรมต.ศักดิ์สยามทำให้ผู้ถือหุ้น BEM เลือดกลบปากถึงทุกวันนี้