พาราสาวะถี
แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้น จากนี้ไปคือภาระหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐนาวาสืบทอดอำนาจ ส่วนการชี้แจง ตอบโต้ฝ่ายค้านนั้น ถามว่าสอบผ่านหรือไม่ต้องบอกว่า ผ่านในแง่ของประเด็นเนื้อหา แต่ที่สอบตกทันทีคือการคุมอารมณ์ การประกาศตัดพี่ตัดน้องแล้วงอนตุ๊บป่องเดินออกจากที่ประชุมหลังปะทะคารมกับ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่า วุฒิภาวะทางด้านอารมณ์ของท่านผู้นำนั้นเป็นอย่างไร
อรชุน
แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้น จากนี้ไปคือภาระหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐนาวาสืบทอดอำนาจ ส่วนการชี้แจง ตอบโต้ฝ่ายค้านนั้น ถามว่าสอบผ่านหรือไม่ต้องบอกว่า ผ่านในแง่ของประเด็นเนื้อหา แต่ที่สอบตกทันทีคือการคุมอารมณ์ การประกาศตัดพี่ตัดน้องแล้วงอนตุ๊บป่องเดินออกจากที่ประชุมหลังปะทะคารมกับ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่า วุฒิภาวะทางด้านอารมณ์ของท่านผู้นำนั้นเป็นอย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยความที่เคยชินกับสภาลากตั้งที่ตัวเองเป็นคนชี้นิ้วบงการมาตลอดกว่า 5 ปี ทำให้มารยาทในที่ประชุมของสภาที่ผ่านการเลือกตั้ง ท่านผู้นำจึงยังสะกดไม่ถูก แม้กระทั่ง ชวน หลีกภัย ยังยอมรับว่าท่านผู้นำยังตัดขาดจากสภาเผด็จการไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เตือนแล้วหลายครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ความเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างหรือจะเรียกว่านิสัยสั่งให้ทหารเกณฑ์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาซ้ายหันขวาหัน ยังถูกนำมาใช้ครบในที่ประชุมครั้งนี้
ทั้งคำพูดที่ว่า “อย่ามายิ้มเยาะเย้ยผมไม่ชอบอย่ามาขำผมไม่ชอบ” ทั้งหมดเหล่านี้ไม่ใช่เป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ แต่เป็นการแสดงออกของผู้เป็นเผด็จการ ถ้ายังแก้จุดอ่อนเหล่านี้ไม่ได้ เชื่อเลยว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรส.ส.พรรคฝ่ายค้านก็จะย้ำแผลเดิม และสุดท้ายเราก็จะไม่ได้เห็นผู้นำไปปรากฏตัวต่อที่ประชุมเพื่อเลี่ยงการที่จะทำให้คนได้เห็นพฤติกรรมอันเป็นนิสัยที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะหนียังไงก็หนีไม่พ้น
เพราะอีกไม่นานต้องมีวาระของการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และนั่นยิ่งจะหนักกว่าการแถลงนโยบาย เนื่องจากจะถูกฝ่ายค้านจี้เป็นเรื่อง ๆ ไป ที่หลีกหนีไม่ได้คือการจี้จุดในงบประมาณแต่ละด้านเทียบเคียงกับรัฐบาลเผด็จการ เมื่อเห็นจุดอ่อนแล้วว่าอยู่ตรงไหน หากมีใครไปจี้ซ้ำย้ำบ่อย ๆ เราก็จะได้เห็นอาการน็อตหลุดของผู้นำเผด็จการกันอีก ไม่ต้องแก้ต่างแก้ตัวหรือโทษใคร ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวเองล้วน ๆ
หรือว่านี่คือบทพิสูจน์ของคำโบราณ “ไม้แก่ดัดยาก” ต่อให้จะแต่งองค์ทรงเครื่องถอดชุดลายพรางมาใส่สูท ล้างคราบไคลเผด็จการอย่างไรมันก็ล้างไม่ออก เพราะความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ใช้กระบวนการศรีธนญชัยจนตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และให้สภาที่ครึ่งหนึ่งมาจากลากตั้งยกมือให้ตัวเองเป็นนายกฯ แล้วจบกัน ความจริงคือประชาธิปไตยนั้นมันต้องมาจากข้างในทั้งจิตใจและอุดมการณ์ นี่ไงที่คนเขาค่อนขอดไม่มีวันที่งาช้างจะงอกออกมาจากปากสุนัข
ไม่แตกต่างกันกับเนติบริกรข้างกาย ต่อให้ใช้ข้อกฎหมายแบบไหนมาอุ้มสม และวางกลไกขององค์กรที่จะทำให้ตัวเองและคณะอยู่รอดปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ยาวได้คือเสียงของประชาชน วันนี้ผ่านพ้นเงื่อนไขต่าง ๆ ตามข้อกฎหมายไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ผลงานให้คนได้สัมผัส ถ้ายังเป็นเหมือนกว่า 5 ปีที่ผ่านมา บอกได้คำเดียวว่าเรือเหล็กมีโอกาสจะล่มก่อนเวลาอันควร
ส่วนบทบาทของเนติบริกรสีข้างถลอกผ่านการแถลงนโยบายเที่ยวนี้ คงเป็นเรื่องที่ลุกขึ้นพูดการันตีคุณสมบัติของผู้นำเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเตือนฝ่ายตรงข้ามว่าเรื่องยังอยู่ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ พูดอะไรไประวังจะเข้าข่ายชี้นำ ทว่าสิ่งที่ วิษณุ เครืองาม ลุกขึ้นตอบข้อสงสัยของ วัน อยู่บำรุง แทนท่านผู้นำนั้น เกิดคำถามขึ้นมาทันทีทันใดว่า ใช้เวทีดังกล่าวชี้นำกระบวนการพิจารณาก่อนที่จะมีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
สิ่งที่วิษณุชี้แจงอ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีระหว่างคสช.กับ สมบัติ บุญงามอนงค์ ว่าในคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าว ไม่มีส่วนไหนที่เขียนว่าหัวหน้าคสช.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในคำพิพากษาดังกล่าวเพียงแต่ระบุว่าตำแหน่งหัวหน้าคสช.เป็น “เจ้าพนักงาน” ดังนั้นแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่งหัวหน้าคสช.จึงไม่ขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกฯ เนื่องจากตอนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เพิ่งเห็นเหมือนกันว่าเนติบริกรประเภทเซียนเหยียบเมฆนอกจากจะสีข้างถลอกปอกเปิกนับตั้งแต่เรื่องสรรหาส.ว. มาหนนี้ก็พูดสวนทางกับสิ่งที่ตัวเองเคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้า ประเด็นเรื่องการถือหุ้นสื่อของส.ส.รัฐบาล เพราะมีคนไปถามและยกเอากรณีคำตัดสินของศาลฎีกากรณีผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ วิษณุบอกว่าใช้เป็นบรรทัดฐานไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระและแต่ละศาลก็จะไม่ก้าวล่วงอำนาจระหว่างกัน แล้วทำไมกรณีนี้จึงอ้างเต็มปากเต็มคำ
เห็นด้วยกับที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ทักท้วงโดยเห็นว่า วิษณุควรที่จะรู้จักกาลเทศะและวางตัว วางคำพูดให้เหมาะสม เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้ไปตามคำชี้แจงของวิษณุก็จะเกิดการครหากับศาลขึ้นมาได้ ถ้าอยากจะวินิจฉัยเรื่องนี้เสียเองควรลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ แล้วไปสมัครรับการสรรหาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเชื่อมั่นว่าจะผ่านการสรรหาและการลงมติเลือกของส.ว.ได้อย่างแน่นอน อย่ามัวแต่ทำตัวเป็นเนติบริกร จนทำให้หลักกฎหมายสั่นคลอน กลายเป็นที่ครหาของคนทั้งบ้านทั้งเมืองอยู่เลย
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าอำนาจที่ได้รับมันจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้ หากเป็นการใช้อำนาจปกป้องคนที่เข้ามาด้วยกลไกอันสวยงามตามระบอบประชาธิปไตยน่าจะเกิดประโยชน์มหาศาลสำหรับบ้านเมือง แต่กับคณะบุคคลที่ตรวจสอบไม่ได้และเห็นได้อย่างชัดเจนในหลายเรื่องว่าสิ่งที่แถไถกันไปนั้น ได้ทำลายความเชื่อถือเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งองค์กรที่จะต้องเป็นหลักในบ้านในเมือง แต่เนติบริกรเหล่านั้นก็ทำให้สิ่งเหล่านั้นมัวหมองและประชาชนสิ้นศรัทธาในพริบตา
ขณะที่แกนนำสามมิตรอย่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน ก็รีบยกหางท่านผู้นำว่าจะทำให้รัฐบาลอยู่ยาว เข้าใจได้กับบรรดาพวกเชลียร์ แต่การยืนระยะจะนานแค่ไหนมันไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยในตัวผู้นำอย่างเดียว ผลงานและเสียงขานรับของประชาชนเป็นตัวชี้วัดสำคัญ อีกเรื่องที่ไม่ยิ่งหย่อนกันคือปัญหากลุ่มก๊วนในพรรคต้นสังกัดของสมศักดิ์นั่นแหละ เมื่อถึงเวลาที่เคยสัญญิงสัญญากันไว้แล้วรอบนี้ไม่ได้ดั่งใจอีก หากสมศักดิ์และพวกสงบนิ่งไม่แสดงอาการเหมือนก่อนคลอดรัฐบาลอีกค่อยมาบอกชาวบ้าน คนส่วนใหญ่เขาถึงจะเชื่อสนิทใจ