‘นกน้อยในกรงทอง’

คนฮ่องกงได้ออกมาประท้วงอย่างต่อเนื่องร่วม 2 เดือนแล้วและดูเหมือนว่าจะยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆและมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาการที่เกิดขึ้นชวนให้สงสัยว่าเหตุใดฮ่องกงซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เจริญและมั่นคงมานานแล้ว จึงยังมีประชาชนอออกมาประท้วงอีกในยุคนี้


พลวัตปี 2019 : ฐปนี แก้วแดง

คนฮ่องกงได้ออกมาประท้วงอย่างต่อเนื่องร่วม 2 เดือนแล้วและดูเหมือนว่าจะยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆและมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาการที่เกิดขึ้นชวนให้สงสัยว่าเหตุใดฮ่องกงซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เจริญและมั่นคงมานานแล้ว จึงยังมีประชาชนอออกมาประท้วงอีกในยุคนี้

ชนวนที่ทำให้เกิดการประท้วงเริ่มต้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน เมื่อรัฐบาลฮ่องกงได้เสนอให้แก้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อสภาเพื่อที่จะเปิดทางให้ส่งตัวผู้ต้องสงสัยในคดีอาญากลับไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้

การประท้วงครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนโดยประเมินว่ามีประชาชนออกมาประท้วงประมาณ 1 ล้านคนเพื่อเดินไปยังทำเนียบรัฐบาล สาเหตุหลักของการประท้วงคือการคัดค้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่การประท้วงก็เป็นไปอย่างค่อนข้างเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่

จนกระทั่งวันที่ 12 มิถุนายน ผู้ประท้วงเริ่มปิดกั้นถนนและพยายามบุกเข้าไปในที่ทำการของรัฐบาล ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา และกระสุนยาง  จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่ฮ่องกงเคยได้เห็นในรอบหลายทศวรรษ

อีกสามวันต่อมา นางแครี่ แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงเลื่อนนำร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเข้าสภาแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งผู้ประท้วงราว 2 ล้านคนไม่ให้ออกมาชุมนุมได้ และในครั้งนี้ผู้ประท้วงเรียกร้องให้ถอนกฎหมายนี้ออกจากสภาโดยสิ้นเชิงและยังเรียกร้องให้แครี่ แลม ลาออก และให้สอบสวนการใช้ความรุนแรงของตำรวจ

ในวันที่ 21 มิถุนายน เมื่อความไม่พอใจเปลี่ยนไปอยู่ที่ตำรวจ ผู้ประท้วงได้ปิดกั้นสำนักงานตำรวจนาน 15 ชั่วโมงและเรียกร้องให้ตำรวจปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกจับ

เหตุการณ์ล่วงเลยจนขึ้นเดือนใหม่ในวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบ 22 ปี ที่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนสู่จีน ผู้ประท้วงได้บุกและทำลายอาคารรัฐสภา

อีกสามสัปดาห์ต่อมาโดยในวันที่ 21 กรกฎาคม ผู้ประท้วงได้มีการพ่นสีสเปรย์อาคารสำนักงานประสานงานของรัฐบาลจีน และในคืนเดียวกันนั้นเองมีชายฉกรรจ์สวมเสื้อยืดสีขาวออกมาทำร้ายผู้ประท้วงและผู้สัญจรในสถานีรถไฟฟ้าหยวนหลอง ซึ่งอยู่ใกล้กับจีนแผ่นดินใหญ่ จนทำให้ความรุนแรงลุกลามมากขึ้นอีกครั้ง

ผู้ประท้วงหลายพันคนได้ชุมนุมประท้วงในอาคารผู้โดยสารขาเข้าในวันศุกร์ที่ผ่านมา และยังมีการชุมนุมอย่างต่อเนื่องในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จนมีการจับกุมผู้ประท้วงอย่างน้อย 49 คน หลังจากที่เกิดความไม่สงบในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

รัฐบาลจีนออกมาเตือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า การกระทำของผู้ประท้วงรุนแรงมากขึ้น และฝูงชนได้เบี่ยงเบนอย่างชัดเจนจากหลักการในการแสดงความเห็นอย่างสันติ

การประท้วงในฮ่องกงไม่มีผู้นำอย่างชัดเจนเหมือนกับที่อื่น ๆ แต่มันได้พัฒนากลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้และขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประท้วงสามารถรักษาแรงส่งในการต่อสู้อย่างยืดเยื้อต่อนางแครรี่ แลม และผู้ที่สนับสนุนเธอในปักกิ่งได้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการปราบปรามการจลาจลของรัฐบาลฮ่องกงและรัฐบาลจีน

ในขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าการประท้วงกำลังกระทบต่อชื่อเสียงของฮ่องกงในฐานะที่เคยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย และในฐานะที่เป็นเศรษฐกิจที่มั่นคงและมีเสถียรภาพสำหรับธุรกิจ โดยในขณะนี้มีรายงานว่า ธุรกิจค้าปลีกหลายรายกำลังประสบปัญหาอย่างรุนแรง นักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็นจีกล่าวว่า การประท้วงอาจจะทำให้อัตราการเติบโตในช่วงไตรมาสสองต่ำกว่าไตรมาสหนึ่งประมาณ 0.6%

รัฐบาลจีนได้ออกมากล่าวหาในสัปดาห์นี้ว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการประท้วงเมื่อสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้จีนปกป้องสิทธิของผู้ประท้วง ซึ่งเริ่มคัดค้านการควบคุมฮ่องกงของจีนมากขึ้น

คำถามในขณะนี้คือ แครี่ แลม และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะยอมอ่อนข้อเพียงไรเพื่อทำให้เหตุการณ์สงบลงโดยเร็ว

จนถึงขณะนี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงยังคงสนับสนุนแครี่ แลม โดยส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงที่จะสร้างการรับรู้ว่า การประท้วงของประชาชนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้

อย่างไรก็ดีในมุมของผู้ประท้วง ถึงแม้ว่าแคร์รี่ แลมจะลาออก การลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ก็จะไม่สามารถคลี่คลายวิกฤติในฮ่องกงได้ เพราะความเป็นจริงคือรัฐบาลจีนกำลังใช้อำนาจอย่างเข้มงวดมากขึ้นต่อสิทธิของชาวฮ่องกง

การลุกขึ้นมาชุมนุมของฮ่องกงทั้งที่อยู่ดีกินดีกันมานาน ก็น่าจะเข้าข่าย “นกน้อยในกรงทอง” ถึงแม้จะอยู่ดีกินดีแค่ไหน ก็ยังต้องการอิสรภาพอยู่ดี  นับประสาอะไรกับคนไทยที่ยังไม่เข้าข่ายเป็นพลเมืองของประเทศที่พัฒนาแล้ว จะไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิที่ควรจะมีและควรจะได้ หลังจากที่มีการปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหารมานานถึง 5 ปี

…ผู้บริหารบ้านเมืองต้องตระหนักและนึกถึงเรื่องฮ่องกงไว้ให้ดี หรือหากยังไม่เข้าใจและเห็นภาพไม่ชัด ก็ให้ลองนึกย้อนไปถึงเรื่อง “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ปี 2556 ก็ได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นตามมา

Back to top button