ภาษีอารย์
คณะรัฐมนตรีเตรียมเห็นชอบกรอบงบประมาณ ซึ่งตามที่รัฐบาลประยุทธ์ชุดก่อนอนุมัติไว้คือ งบรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาท ขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท โดยอาจทำงบกลางปีเพิ่มก็ได้ ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลต้องการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
คณะรัฐมนตรีเตรียมเห็นชอบกรอบงบประมาณ ซึ่งตามที่รัฐบาลประยุทธ์ชุดก่อนอนุมัติไว้คือ งบรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาท ขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท โดยอาจทำงบกลางปีเพิ่มก็ได้ ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลต้องการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้
เชื่อได้เลยครับ ทุกพรรคจะของบล้นหลาม ตามหน่วยงานที่ดูแล แล้วนายกฯ ก็จะให้ไฟเขียวเป็นส่วนใหญ่ นี่ไม่ใช่แค่เอาใจพรรคร่วมเพราะเสียงปริ่มน้ำ แต่รัฐบาลสืบทอดอำนาจต้องการให้นักการเมืองเข้ามาช่วย “โชว์ของ” คิดโครงการเอาใจชาวบ้าน กลบที่มาของอำนาจไม่ชอบธรรม แล้วบอกว่านี่ไงรัฐบาลจากเลือกตั้ง สนองความต้องการจากประชาชน เป็นประชาธิปไตยแล้วนะ ทั้งที่ได้เป็นนายกฯ เพราะ 250 ส.ว.ตั้งเอง
นักการเมืองจากเลือกตั้ง ยังไงก็เก่งกว่านักการเมืองแต่งตั้ง ในแง่ของความเข้าใจประชาชน เข้าใจกระแส รู้จักเล่นกับดราม่า แค่เป็นรัฐมนตรีไม่กี่วัน ก็ทำให้ชาวบ้านฮือฮา เช่น นโยบายกัญชา ลดค่ารถไฟฟ้า คุกเตียงสองชั้น เพิ่มค่าอาหารคนชรา ฯลฯ แล้วยังมีนโยบายประกันราคาพืชผลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังไม่ประกาศตัวเลขชัดเจน แต่ทำแน่ เพราะอยู่ใน 12 ข้อ
นี่คือสิ่งที่ประยุทธ์ต้องการจากนักการเมือง เพื่อสร้างภาพใหม่ เพราะนักการเมืองไวกว่า เก๋ากว่า รัฐมนตรีจากข้าราชการ แถมยังมีกลไกในพื้นที่ ช่วยแก้ปัญหาทำความเข้าใจชาวบ้าน
ถามว่าเป็นประชาธิปไตยขึ้นไหม ในแง่นี้ก็ใช่ แต่เป็นประชาธิปไตยขึ้นบ้างเพื่อค้ำโครงสร้างอำนาจหลัก รัฐราชการอนุรักษนิยมเป็นใหญ่ เป็นผู้ตัดสินใจ นักการเมืองเป็นตัวช่วยเท่านั้น
ทิศทางของรัฐบาลจึงเห็นชัดว่าจะทุ่มงบ “ประชานิยม” เอาใจประชาชนขนานใหญ่ รวมตัวเลขเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่บัตรคนจนเฟส 2 ถ้าทำตามที่หาเสียงไว้ก็ 1 แสนล้าน
พูดอย่างนี้ไม่ได้ค้าน ถ้าเป็นประโยชน์กับคนจนจริง แต่มันคือสิ่งที่รัฐบาลไทยรักไทยเพื่อไทยทำไม่ได้ ถูกหาว่าประชานิยม รัฐธรรมนูญบังคับ ต้องชี้แจงที่มาของรายได้ เช่นจะจำนำข้าว 15,000 ต้องบอกว่าเอาเงินมาจากไหน แต่ทีรัฐบาลประยุทธ์ แถลงนโยบายคลุม ๆ ไม่ต้องแจกแจงว่าบัตรคนจน ประกันราคา ใช้เงินเท่าไหร่ แล้วตอนท้ายก็บอกรายได้มาจากภาษี ซึ่งเป็นเรื่องรูทีนทั้งสิ้น
ปัญหาของรัฐบาล ที่จะกลายเป็นภาระของผู้เสียภาษี คือในขณะที่ทุ่มประชานิยม ก็ยังต้องทุ่มงบด้านความมั่นคง งบประจำ ค้ำรัฐราชการใหญ่โตมโหฬาร ซึ่ง 5 ปี คสช. เพิ่มคน เพิ่มตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน เบี้ยประชุม ค่ารับรอง เงินเพิ่มพิเศษ ฯลฯ กันเป็นว่าเล่น
รวมถึงการซื้ออาวุธ ซึ่งเป็นงบผูกพัน ซื้อแล้วก็หยุดไม่ได้ เช่นที่ประยุทธ์อ้างว่าเรือดำน้ำต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน กองทัพบกก็จะซื้อรถลำเลียงพลจากอเมริกา 5,400 ล้าน หลังอัดอั้นมา 5 ปีเพราะอเมริกาไม่ขายอาวุธให้รัฐประหาร
ที่จริงก็ถูก กองทัพควรพัฒนาให้ทันสมัย แต่อีกด้านก็ไม่เคยลดกำลังพล 5 ปี คสช.เพิ่มภารกิจความมั่นคงภายใน ขยายอำนาจ กอ.รมน. เพิ่ม มทบ. เพิ่มทหารเกณฑ์ พอพรรคฝ่ายประชาธิปไตยขอตัดงบ 10% 30% ก็ร้องเพลงหนักแผ่นดิน
ที่หนักคืองบกองทัพ งบรัฐราชการนี่ต่างหาก ไม่ใช่ว่าแค่ทหาร ดูครูก็ได้ ยุค คสช.ให้มีทั้ง ผอ.เขตพื้นที่ ศึกษาธิการจังหวัด ระดับบริหารจะตีกันตาย แทนที่จะเพิ่มครูสอนเด็ก
นี่เป็นปัญหาของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ที่ต้องเอาใจกองทัพ รัฐราชการ พร้อมกับพยายามเอาใจประชาชน แต่เอาเข้าจริง ก็จะให้ความสำคัญกับความมั่นคงของรัฐอนุรักษนิยมเป็นอันดับหนึ่ง
ส่วนค่าใช้จ่ายนะหรือ ก็ผลักภาระมาให้ประชาชน ในภาษีรูปแบบต่าง ๆ ที่อ้างว่าประเทศอารยะเขาก็มี ภาษีสุขภาพ ภาษีลาภลอย ลดเหลื่อมล้ำ ซึ่งก็ดีนะ ถ้าไม่ใช่มุ่งหาเงินไปค้ำรัฐราชการล้าหลัง