พาราสาวะถี
เนติบริกรประจำรัฐบาลคงจะสบายใจหรือไม่ก็เป็นผู้ให้คำแนะนำเอง จึงทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาบอกกับนักข่าวหลังประชุมครม.เมื่อวันอังคารเกี่ยวกับปมการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 161 โดยท่านผู้นำระบุว่า “กำลังพยายามแก้ไขปัญหาอยู่” รู้ว่าผิดและเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แม้จะยืนยันว่ากระบวนการครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เป็นความครบถ้วนที่ผิดพลาด ดันทุรังแก้ตัวไปไม่เกิดประโยชน์
อรชุน
เนติบริกรประจำรัฐบาลคงจะสบายใจหรือไม่ก็เป็นผู้ให้คำแนะนำเอง จึงทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาบอกกับนักข่าวหลังประชุมครม.เมื่อวันอังคารเกี่ยวกับปมการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 161 โดยท่านผู้นำระบุว่า “กำลังพยายามแก้ไขปัญหาอยู่” รู้ว่าผิดและเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แม้จะยืนยันว่ากระบวนการครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เป็นความครบถ้วนที่ผิดพลาด ดันทุรังแก้ตัวไปไม่เกิดประโยชน์
ความจริงในฐานะที่ผ่านกองทัพเคยเป็นนักเรียนเตรียมทหารและนักเรียนนายร้อย ก็น่าจะเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่า การเป็นผู้นำกล่าวไม่ว่าจะเป็นการสาบานตนหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่องค์กรหรือหน่วยงานนั้น ๆ ระบุไว้ทุกประการ ถามว่าเคยมีใครที่ไปแก้ไขคำสาบานตนไม่ต้องเป็นไปตามที่ได้ปฏิบัติกันมาหรือไม่ โดยอ้างว่าไม่ว่าจะพูดยังไงทุกอย่างก็ครอบคลุมหมดแล้ว กรณีนี้ถ้าไม่ใช่กลัวความผิด กลัวเสียหน้า คนอย่าง วิษณุ เครืองาม ที่เขียนหนังสืออธิบายไว้ชัดน่าจะเข้าใจดีตั้งแต่ต้นและไม่ควรแถ
แน่นอนว่า ไม่ได้เป็นอะไรที่จับทางยาก คนอย่างพลเอกประยุทธ์รู้ดีว่าเรื่องไหนที่ดันทุรังได้แล้วไร้กระแสด้านลบจะไม่มีวันถอยเด็ดขาด แต่เรื่องไหนที่ฝืนไปแล้วจะทำให้ตัวเองและคณะเสียรังวัดก็ยอมใส่เกียร์ถอยเอาแบบดื้อ ๆ เห็นกันมาหลายหนในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ยิ่งคำพูดที่ย้อนนักข่าวเมื่อวันอังคาร “ก็กำลังหาทาง ไม่รู้จักคำว่าหาทางหรืออย่างไร เอาละเรื่องนี้ผมจะทำของผมเอง” เป็นตัวบ่งชี้อารมณ์และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
ช่วงนี้เป็นฤดูกาลแห่งการแต่งตั้งโยกย้าย ในฝ่ายการเมืองก็ปูนบำเหน็จคนใกล้ชิด ญาติสนิท มิตรสหายและอดีตส.ส.สอบตกของแต่ละพรรคไปนั่งเป็นข้าราชการการเมืองทั้งในตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรี ที่ได้ดิบได้ดีและถือเป็นการใช้คนถูกงานเพื่อปกป้องรัฐมนตรีคงจะเป็นรายของ ธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐที่ได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
งานนี้ป่าวประกาศมาตั้งแต่ต้น อุตตม สาวนายน การันตีเอง คนทำงานเพื่อพรรคและกางปีกปกป้องท่านผู้นำแบบไม่ลืมหูลืมตาไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ใดก็ตาม ควรต้องมีที่ยืน ซึ่งหลังจากที่พลาดเก้าอี้โฆษกรัฐบาลและรองโฆษก ก็มาได้ตำแหน่งตรงนี้แทน แน่นอนว่าในภาวะที่เจ้ากระทรวงคงจะต้องเจอกับแรงกระแทกอย่างหนักหน่วงตลอดช่วงเวลาที่นั่งในเก้าอี้ การมีขุนพลคู่ใจที่สามารถเปิดเกมโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมย่อมทำให้อุ่นใจได้
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีอะไรพลิกโผ รายชื่อข้าราชการการเมืองส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ชิดและผู้มีพระคุณต่อ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ได้ก้าวมาเป็นหัวหน้าพรรค น่าสนใจคงเป็นในส่วนของรายชื่อรองโฆษกรัฐบาลที่พรรคเก่าแก่ส่ง รัชดา ธนาดิเรก ไปเป็นตัวแทน ในแง่คุณสมบัติแล้วก็ถือว่าไม่แพ้โฆษกรัฐบาลเพราะมีดีกรีด็อกเตอร์เหมือนกัน งานนี้ฝ่ายค้านเจอคู่ต่อกรที่เป็นสุภาพสตรีไม่รู้ว่าจะทำให้ต้องระมัดระวังในการโจมตีรัฐนาวาด้วยหรือเปล่า (ฮา)
ฟากของข้าราชการประจำ กระทรวงมหาดไทยก็มีการโยกย้ายล็อตใหญ่ในระดับอธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวนถึง 31 ตำแหน่ง น่าสนใจตรงรายชื่อของ ประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมที่ดินที่โยกไปคุมกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นี่เป็นการเลือกใช้คนถูกงานอีกเช่นเดียวกัน เพราะรายนี้ถือว่ามีความเชี่ยวชาญด้านการเลือกตั้งสมัยนั่งอยู่กรมการปกครอง ต้องอย่าลืมว่าการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นทั่วประเทศกำลังจะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ เจ้าของตำแหน่งเดิม ผู้สร้างประวัติศาสตร์ก้าวขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกด้วยวัย 46 ปี ถูกโยกไปเป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน ไม่ใช่ว่าบริหารจัดการงานที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นไม่ดี แต่เจ้าตัวมีความประสงค์จะไปดูแลงานด้านการพัฒนาและส่งเสริมสินค้าโอทอป ยกระดับคุณภาพชีวิต ชุมชนและพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งเชื่อมโยงกับหัวโขนของศรีภรรยาที่เป็นประธานสภาสตรีแห่งชาติ
ส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดตำแหน่งที่ถูกจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้น ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯพะเยาที่ปรากฏชื่อว่าพรรคสืบทอดอำนาจจะส่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ก่อนหน้านี้ ถูกย้ายไปเป็นผู้ว่าฯ ลำปาง ดูเหมือนว่าจังหวัดใหญ่ขึ้น แต่เบื้องหลังเป็นที่รู้กันว่าด้วยความตงฉินของพ่อเมืองรายนี้จนถูกทำให้ย้ายลดชั้นจากเชียงรายมาอยู่พะเยามาแล้ว ดังนั้น หากยังให้นั่งที่เดิมในบริบทที่ฝ่ายการเมืองต้องการเปิดเกมรุกสร้างคะแนนนิยมเข้มข้น อาจทำให้เกิดภาวะขัดขาผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
อีกรายที่ถูกลดชั้นเพราะทำงานไม่เข้าตาฝ่ายการเมืองคือ วีรนันท์ เพ็งจันทร์ จากสงขลาไปเป็นผู้ว่าฯ สตูล ส่วนประเด็นในการโยกย้ายของกระทรวงคลองหลอดที่ถูกจับตามองทุกครั้งคือเรื่องของสิงห์ทั้งหลายแหล่ งวดนี้สิงห์ดำเข้าป้าย 15 คน แต่คงไม่มีผลหรือแรงกระเพื่อมใด ๆ เนื่องจากหลังการเข้ามาของเผด็จการคสช. การแบ่งแยกเรื่องสีเสื้อของสถาบันที่ตัวเองเคยศึกษามาก็เบาบางลง ผู้มีอำนาจวัดจากใครสวามิภักดิ์และเป็นพวกกันจริง ใครมีเบื้องหลังใกล้ชิดฝ่ายการเมืองเป็นหลัก
พยายามขมวดปมให้แคบลงเรื่องเหตุบึ้มป่วนกทม.เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยอมรับว่าคนลงมือมาจากจังหวัดชายแดนใต้ ส่วนสาเหตุยังไม่ขอตัดประเด็นใดทิ้ง งานนี้จึงอยู่ที่ว่าจะชี้ไปทางมุมแดงคือดิสเครดิตทางการเมือง มีมาสเตอร์มายด์จ้างมาก่อเหตุ หรือมุมน้ำเงินโจรใต้ไม่พอใจต่อการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จึงขึ้นมาแก้แค้นในเมืองหลวง ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังถือเป็นเรื่องใหญ่
บอกมาโดยตลอดสิ่งที่เกิดขึ้นผู้มีอำนาจทั้งในรัฐบาลและฝ่ายคุมกองทัพอย่ารีบด่วนสรุป ให้เวลาตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ จะได้ไม่เข้าข่ายชี้นำหรือตั้งธงอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เป็นเรื่องร้อนแต่ไม่ใช่เร่งรีบจนทำให้คนมองว่ามีพิรุธ ในเมื่อทุกคนต่างหวังดีต่อประเทศชาติกันทั้งนั้น ก็รอเวลาให้ตำรวจได้ดำเนินการครบทุกขั้นตอนจนสะเด็ดน้ำแล้วแถลงข่าวใหญ่ทีเดียวคงไม่เสียหาย ย้ำอีกครั้งอย่ากลัวเสียหน้าจนเกินเหตุ