พาราสาวะถี
เลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ ใครได้ฟัง วิษณุ เครืองาม ออกลีลาเรื่อง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศขอแก้ไขด้วยตัวเองเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ต้องบอกว่าเหลือรับประทาน การโยนไปให้เป็นเรื่องของผู้นำสืบทอดอำนาจเพียงคนเดียวและบอกว่าก่อนที่จะพูดบิ๊กตู่ไม่ได้มาปรึกษาตัวเอง “พูดไปใครเขาจะเชื่อ” มีหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายผู้นำที่ฟังกระแสของประชาชนอยู่ตลอดเวลาจะไม่หารือกับเนติบริกรข้างกาย
อรชุน
เลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ ใครได้ฟัง วิษณุ เครืองาม ออกลีลาเรื่อง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศขอแก้ไขด้วยตัวเองเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ต้องบอกว่าเหลือรับประทาน การโยนไปให้เป็นเรื่องของผู้นำสืบทอดอำนาจเพียงคนเดียวและบอกว่าก่อนที่จะพูดบิ๊กตู่ไม่ได้มาปรึกษาตัวเอง “พูดไปใครเขาจะเชื่อ” มีหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายผู้นำที่ฟังกระแสของประชาชนอยู่ตลอดเวลาจะไม่หารือกับเนติบริกรข้างกาย
ส่วนประเด็นที่เป็นความเห็นอันหลากหลายทั้งจากฝ่ายค้านและพวกเดียวกันเอง ก็ต้องรับฟังทั้งสองทาง แต่คล้อยตามกันไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าวิษณุวางทางถอยไว้แล้วว่า ที่มีบรรดาสารพัดรายไปยื่นร้องผ่านองค์กรต่าง ๆ ให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือศาลปกครองพิจารณา “ถือเป็นเรื่องที่ดี” นี่สะท้อนให้เห็นว่าคนที่เคยพลิกพลิ้วในทางกฎหมาย มาเจอกรณีแบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ขนาดบอกว่าในอดีตเคยมี พอนักข่าวถามจี้ว่าคือรัฐบาลไหน ก็อ้างว่าไม่ขอตอบ นั่นมันเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร
ขณะที่ในสภาที่ฝ่ายค้านรอตั้งกระทู้ถามสดต่อท่านผู้นำ เมื่อท่านอ้างติดภารกิจลงพื้นที่จังหวัดยะลา ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ตีโพยตีพายและพร้อมที่จะรอจนกว่าคนที่ทำผิดพลาดจะมีเวลามาตอบ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่บิ๊กตู่ว่าจะขอแก้ไขด้วยตัวเอง ก็คงจะรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยไปชี้แจงในสภา ล่าสุด เจ้าตัวก็บอกว่า “เดี๋ยวคงเรียบร้อยนะ เพราะผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ผิด เขาดูกันที่เจตนา” ว่ากันมาขนาดนี้มือกฎหมายข้างกายจะบอกว่าไม่รู้ไม่ทราบได้อย่างไร
วันวาน ท่านผู้นำย้ำอีกครั้งบนเวที การประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูง ที่อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี “ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว นั่นคือเรื่องรัฐธรรมนูญหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรจะให้ทำงานได้ ก็หวังให้ทุกคนได้ทำงานต่อไป อย่างไรก็ตามก็ต้องไปศึกษารัฐธรรมนูญว่าเขียนไว้อย่างไร อย่างไรก็ตามก็คงยังจะมีรัฐบาลอยู่”
ก่อนที่จะตามมาด้วยประโยคชวนให้คิด“ผมขอโทษบรรดารัฐมนตรีด้วย เพราะผมถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว วันนี้ขอร้องเรื่องเก่า ๆ อะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด อะไรพูดได้ก็พูดไป ผมเองรับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว ยืนยันว่ามีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับรัฐมนตรี และให้เกียรติกับทุกคน และให้เวลาพิสูจน์ผลงานในการทำงาน” เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ แต่มองย้อนกลับไปในทุกจังหวะเคลื่อนที่ผ่านมา คงไม่น่าจะมีอะไรให้เซอร์ไพรส์
เสถียรภาพรัฐบาลความจริงไม่ใช่เฉพาะพวกสืบทอดอำนาจเท่านั้น เป็นมาทุกยุคทุกสมัยล้วนแล้วแต่เกิดจากคนกันเองทั้งนั้น คำเตือนของวิษณุเรื่องสนิมเกิดแต่เนื้อในตน คำชมและสะกิดของ “เสธ.อ้าย” พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ต่อรัฐนาวาประยุทธ์ 2/1 ที่บอกว่าอยู่ยาวได้แต่ให้ระวังพวกเดียวกัน เหล่านี้ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ย่อมรู้ดีว่าเวลาที่ทอดยาวออกไปความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการสะดุดขาตัวเองมีได้อยู่ตลอดเวลา
ปรากฏการณ์ประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระของ 5 พรรคเล็กที่นำโดย มงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โดยแสดงท่าทีแข็งกร้าว ย่อมสะเทือนต่อรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากการจัดสรรเก้าอี้ข้าราชการการเมืองไม่มีตัวแทนจากพรรคเล็กเหล่านี้ได้เล็ดลอดเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหารแม้แต่คนเดียว และไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายของพรรคได้ ซึ่งต้องจับตาดูต่อว่าจะมีพรรคอื่นไหลตามมาอีกหรือไม่ หรือแค่เคาะกะลา
จะว่าไปแล้ว คนเหล่านี้หากไม่มีอภินิหารในการคิดคำนวณตัวเลขส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าไปนั่งในสภาหินอ่อนอย่างแน่นอน ดังนั้น อาจจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ผู้นำและคนในรัฐบาลเรือเหล็กต้องหวั่นไหว เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่าตลอดอายุของรัฐบาล หากต้องการอยู่ให้ได้อยู่ไปจนครบเทอม ลำพังการบริหารจัดการเรื่องเสียงของพวกตัวเองอย่างเดียวยังไม่พอ เพื่อการันตีความอยู่รอดปลอดภัยในเรื่องที่สำคัญจำเป็นต้องพึ่งพา “งูเห่าชั่วคราว” อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันที่กำลังจับตามองกันเรื่องของ 3 ส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจ ถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่เขตการศึกษาขั้นพื้นฐานเขตที่ 2 นครราชสีมานั้น พิจารณาจากสำนวนการไต่สวนรวมทั้งเอกสารประกอบแล้ว ไม่แน่ใจว่าแน่นหนาพอที่จะนำไปสู่การพิพากษาเอาผิดในชั้นศาลหรือไม่ เช่นเดียวกับกรณีโรงพักร้างที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ถูกกล่าวหาคนสำคัญ ดูจากความมั่นคงมั่นใจของฝ่ายถูกชี้มูลแล้ว คงต้องรอให้คดีจบแล้วไปดูสำนวนการไต่สวนของป.ป.ช.กันว่าเป็นอย่างไร
แต่ที่น่าจับตามองที่สุดคงเป็นเรื่องของผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานป.ป.ช.ที่ปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินมูลค่าสูงถึง 260 ล้านบาท น่าสนใจว่าบทสรุปจะจบลงแบบไหน โดย วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการป.ป.ช.ยืนยัน ถึงแม้จะเป็นคนในป.ป.ช.เองก็จะพิจารณาตามกฎหมายเหมือนกัน อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะคนในยิ่งจะต้องเข้มงวดมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นคนของเราเอง รอดูกันต่อไปบางทีเรื่องนี้อาจจะทำให้ความเชื่อถือเชื่อมั่นขององค์กรกระเตื้องขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
ฟังการแถลงความคืบหน้าคดีระเบิดป่วนกรุงเทพฯ ของ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว ด้านอารมณ์มาเต็ม แสดงความไม่พอใจนักข่าวเต็มที่กับการนำเสนอโดยอ้างว่าจะกระทบต่อรูปคดี และที่ปรี๊ดสุดคงเป็นการไปตีความบทสัมภาษณ์ของ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกและเพื่อนของผบ.ทบ.เอง ก่อนจะตบท้ายว่าการทำงานของนักข่าวเป็นการกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เรื่องนี้สรุปง่าย ๆ เลยคือ สื่อมวลชนนำเสนอเป็นปกติ สิ่งที่ทำให้ผบ.ตร.ออกอาการและบอกว่าเป็นความกดดัน น่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ของท่านผู้นำและผบ.ทบ.มากกว่า เพราะให้น้ำหนักโน้มเอียงไปในทางด้านการเมืองและดิสเครดิตรัฐบาล เพราะนั่นเท่ากับการขีดเส้นให้ตำรวจต้องเดินในแนวนี้ ทั้งที่ตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนมันควรต้องใช้เวลา เอาเป็นว่านักข่าวคงไม่ถือโทษโกรธท่านปล่อยให้ได้ระบาย แล้วให้มีความคืบหน้าค่อยมาบอกอีกทีว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ที่แย่หนักจากเรื่องนี้คือประเทศชาติต่างหาก