ทุบบลูชิพ
*ดูเหมือนหุ้นกลุ่มบลูชิพจะตกอยู่ในวงล้อมของแรงเทขายที่ไม่รู้จักหมดจักสิ้น จึงกลายเป็นหุ้นที่หาจุดเด้งกลับอย่างบูรณาการไม่เจอสักทีนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำใจรับสภาพแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะปัจจัยรอบด้านไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้รู้สึกมีความมั่นใจในการลงทุนสักอย่าง เดี๊ยนถึงมองการขายหุ้นเพื่อลงไปรับข้างล่างเป็นหนทางเดียวที่ทำให้นักเล่นรู้สึกสบายใจขึ้นไงล่ะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ดูเหมือนหุ้นกลุ่มบลูชิพจะตกอยู่ในวงล้อมของแรงเทขายที่ไม่รู้จักหมดจักสิ้น จึงกลายเป็นหุ้นที่หาจุดเด้งกลับอย่างบูรณาการไม่เจอสักทีนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำใจรับสภาพแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะปัจจัยรอบด้านไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้รู้สึกมีความมั่นใจในการลงทุนสักอย่าง เดี๊ยนถึงมองการขายหุ้นเพื่อลงไปรับข้างล่างเป็นหนทางเดียวที่ทำให้นักเล่นรู้สึกสบายใจขึ้นไงล่ะคะ
*ประกอบกับบรรดาพวกบล็อกเทรดพากันถล่มขายไม่ยั้งมือ เท่ากับเป็นตัวเร่งให้เดี๊ยนต้องเฟ้นหาหุ้นที่ทำผลงานยอดเยี่ยมมานำเสนอ เพราะหุ้นเหล่านี้จะวิ่งกลับขึ้นมาหายอดเดิมอยู่ดี “โมนิก้า” ถึงปล่อยให้พวก เสือ สิงห์ กระทิง แรด รุมโทรมหุ้นบลูชิพต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลังเห็นดัชนีรูดทะลุแนวรับสำคัญลงมาอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าแรงซื้อหดหายไปจำนวนมาก และแรงเทขายยังไม่สะเด็ดน้ำพะยะค่ะ
*วานนี้ถึงเห็นดัชนีไหลลงมาทีละขยัก โดยขยักแรกลงมาประมาณ 12 จุด ขณะที่ขยักสองลงมาราว 24 จุด จนสุดท้ายดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,620.23 จุด ลบไป 30.41 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.41 หมื่นล้านบาท พร้อมกับมีเสียงเม้าท์มอยถึงแนวรับสุดท้ายบริเวณ 1,600 จุด ดังขึ้นเรื่อย ๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นลองสำรวจหุ้นดาวดังที่ปรับตัวลงมาเยอะ ทั้งที่ทำผลงานได้เข้าเป้าเป๊ะ ๆ มันใช่จังหวะที่ต้องซื้อสวนอีกครั้งหรือเปล่า ?
*โดยเฉพาะในรายของเสือนอนกิน AOT ไหลลงมากองอยู่ที่แนวรับสุดท้ายแบบพอเหมาะพอเจาะ ก่อนจะปิดที่ระดับ 67.25 บาท ลบไป 2.50 บาท หรือลงไป 3.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.13 พันล้านบาท “โมนิก้า” ย่อมเล็งเห็นโอกาสของการเล่นรอบใหม่มากกว่าความเสี่ยงอย่างแน่นอน เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่า แวลูของหุ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี แถมเมื่อคิดจากสมมติฐานในแง่บวกสุด ๆ เป้าหมายแถว 75 บาท ไม่ไกลเกินเอื้อมหรอกค่ะ
*อีกรายที่ถูกถล่มแบบไม่ปรานี ทั้งที่กำไรออกมายอดเยี่ยมกระเทียมดอง “โมนิก้า” คงต้องหันไปดูหุ้นสุดเลิฟอย่าง EA เพื่อทำให้เห็นว่า การทรุดตัวลงมาปิดที่ 48 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 5.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.43 พันล้านบาท มันไม่เมกเซนส์เอาเสียเลย เพราะมองในมุมของหุ้นที่ยังมี growth ไปได้เรื่อย ๆ ราคาเป้าหมายที่เคยให้ไว้แถว 60 บาท มันก็โอเคอยู่นะตัวเอง
*เช่นเดียวกับในรายของ SAWAD ยังคงทำผลงานได้อย่างสุดติ่งกระดิ่งแมว แถมแม่ทัพหญิงอย่าง “น้องนาย” ยังมีทีเด็ดมาโชว์ให้เห็นเรื่อย ๆ “โมนิก้า” ถึงมองการยืนปิดที่ 48.75 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 583 ล้านบาท กลายเป็นจังหวะของการทยอยสะสมเข้าพอร์ต เพราะตัวเลขผลงานงวดนี้น่าจะออกมาแจ่มอย่าบอกใครเชียว..หากไม่เชื่อที่เล่าให้ฟัง ก็ดูงบวันนี้เอาแล้วกันเจ้าค่ะ
*เม้าท์ถึงเรื่องที่ต้องช่วยตัวเองขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอหันไปมองหุ้น ADVANC เพื่อเป็นการนำร่องแฟนคลับให้รู้ว่า การแก้เกมด้วยการจ่ายเงินปันผลในคราวนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ราคาหุ้นยืนบวกสวนภาวะได้อย่างแข็งแกร่ง เดี๊ยนถึงไม่มีข้อกังขาใด ๆ เมื่อเห็นราคาหุ้นยืนปิดที่ 223 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.33 พันล้านบาท เพราะเป็นหุ้นบลูชิพเพียงไม่กี่ตัวที่มีราศีกว่าใครเพื่อนในตอนนี้น่ะซี
*สำหรับรายที่หมดสภาพความยิ่งใหญ่อย่าง BANPU กลายเป็นช็อตที่ทำให้นักเล่นสาดหุ้นทิ้งแบบไม่ลืมหูลืมตา จนหุ้นลงมาทำราคาต่ำสุดในรอบ 3 ปี 2 เดือน “โมนิก้า” ยังคงมองเป็นไฟต์บังคับที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ เพราะตัวเลขกำไรหดตัวลงมากถึง 80% ซึ่งทำให้นักเล่นบางคนมองข้ามช็อตไปยังผลขาดทุนในอนาคตแบบนี้ เดี๊ยนสงสัยการลงมาปิดที่ 12 บาท ลบไป 0.90 บาท หรือลงไป 7% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 720 ล้านบาท อาจยังไม่ใช่โลว์ของรอบนี้เจ้าค่ะ
*อีกรายที่มีสภาพหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน “โมนิก้า” คงพุ่งเป้าไปยังหุ้นแบงก์ TMB มีแรงเทขายรุมกระหน่ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น พร้อมกับทำโลว์ใหม่ได้เรื่อย ๆ มันเป็นช็อตของการทิ้งหุ้นเพื่อหนีไปตั้งหลักธรรมดา ๆ ก็จริง แต่อย่าลืมว่า จังหวะนี้อะไรหลายอย่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย ! จึงต้องทำใจยอมรับการอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1.58 บาท ลบไป 0.12 บาท หรือลงไป 7% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 444 ล้านบาท เพราะไม่มีใครกล้าเล่นนะจ๊ะ
*ขนาดพี่เบิ้มของตลาดหุ้นไทยอย่าง PTT ยังถูกซัดหนักจนหงายหลังหลายตลบ จนสุดท้ายลงมายืนปิดที่ระดับ 43 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 2.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.39 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน กลายเป็นภาพสะท้อนที่บอกให้รู้ว่า ยังไม่ถึงเวลาของการเด้งกลับอย่างบูรณาการ เพราะเมื่อดูจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกควบคู่กันไป ทำให้การอยู่เฉย ๆ ชั่วคราวน่าจะเป็นทางออกที่ดีสุดนะคะ