เลิกโลกสวย

*หากยังจำกันได้น่าจะรู้ว่า “โมนิก้า” พยายามพูดถึงตัวเลขกำไรแต่ละไตรมาสคือตัวแปรที่มีผลต่อการเดินหน้าของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ และทันทีที่ผลงานรวมของบริษัทในตลาดหุ้นไทยทรุดฮวบอย่างน่าใจหาย เท่ากับเป็นการย้ำหัวหมุดให้นักเล่นเลิกทำตัวเป็นพวกโลกสวยในทันที เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แถมยังทำให้นักเล่นหลงกลเข้าไปเล่นเกมของคนอื่นแบบง่าย ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*หากยังจำกันได้น่าจะรู้ว่า “โมนิก้า” พยายามพูดถึงตัวเลขกำไรแต่ละไตรมาสคือตัวแปรที่มีผลต่อการเดินหน้าของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ และทันทีที่ผลงานรวมของบริษัทในตลาดหุ้นไทยทรุดฮวบอย่างน่าใจหาย เท่ากับเป็นการย้ำหัวหมุดให้นักเล่นเลิกทำตัวเป็นพวกโลกสวยในทันที เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แถมยังทำให้นักเล่นหลงกลเข้าไปเล่นเกมของคนอื่นแบบง่าย ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ

*ประเด็นดังกล่าวทำให้เดี๊ยนต้องนำตัวเลขเก่าที่เคยประเมินกำไรต่อหุ้นปี 2562 ไว้ที่ระดับ 115 บาท เทียบเคียงบนค่า P/E 15 เท่า จะได้ระดับเหมาะสมราว ๆ 1,730 จุด แต่ทันทีที่ภาพรวมไตรมาส 2 ลดลงมาถึง 15% ก็มีการปรับลดตัวเลขกำไรต่อหุ้นปี 2562 ลงเหลือ 102-105 บาท ซึ่งจะทำให้กรอบการเล่นเที่ยวนี้อยู่ที่บริเวณ 1,530-1,580 จุด (มองแบบอนุรักษนิยม) เดี๊ยนมองเป็นเรื่องที่นักเล่นควรพึงสังวรไว้ด้วยนะคะ

*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ “โมนิก้า” ไม่ตื่นเต้นกับการที่ดัชนีเด้งขึ้นมาปิดถึงที่ระดับ 1,631.40 จุด บวกไป 27.37 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.60 หมื่นล้านบาท เพราะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า ตลาดหุ้นไทยขาดแรงขับเคลื่อนอย่างบูรณาการ แถมปัจจัยบวกที่มีเข้ามาในแต่ละวันก็เป็นเพียงนามธรรม ส่งผลให้หุ้นที่ขึ้นมาเที่ยวนี้มีแต่พวกฉาบฉวยเป็นส่วนใหญ่นะตัวเอง

*เหมือนกับในรายของหุ้น STEC ภายใต้ร่มเงาของ “เสี่ยหนู” กลายเป็นตัวอย่างของหุ้นฉาบฉวยที่ชัดเจนสุด เพราะการขึ้นของหุ้นก่อนหน้านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่องกำไรมาตามนัดแน่นอน พอเอาเข้าจริงกลับทำเอาขาจรอกหักถ้วนหน้า “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่นักเล่นต้องหัดเผื่อใจไว้เยอะนิดหนึ่ง หลังเจ้ากรมข่าวลืออาละวาดหนักเกิน และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้คือ หุ้นไหลลงมาปิดที่ 20.20 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 5.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.72 พันล้านบาทน่ะซี

*อีกรายที่มีลักษณะคล้ายกันต้องมองไปที่ STPI เพราะเข้าคอนเซ็ปต์ “เสร็จนา ฆ่าโคถึก” อย่างชัดเจน เพราะในช่วงที่หุ้นขึ้นมาแรง ๆ ก็วาดฝันตัวเลขกำไรปกติจะปรากฏให้เห็น แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงลมปากที่พ่นต่อ ๆ กันมา ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวสักอย่าง “โมนิก้า” ถึงมองการยืนปิดที่ 8.10 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือลงไป 2.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 72 ล้านบาท เป็นการกินบุญเก่าที่มีการบันทึกกำไรพิเศษทางคดีเข้ามาเท่านั้นเองค่ะ

*เม้าท์ถึงประเด็นนี้ขึ้นมาปุ๊บ “โมนิก้า” ต้องหันมามองหุ้นฉาว PPPM หลังมีเรื่องให้แมงลือนินทากันอย่างสนุกปากไม่ว่างเว้นนั้น ทั้งหมดเป็นผลมาจากการเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อเพิ่มแวลูทางอ้อมให้กับกิจการ เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยถือหุ้นไขว้รวมกันเป็น 3 ก๊ก (AECACAP-(ชื่อเดิม)TLUXE) ก๊วนพวกนี้ขยันเดินสายโม้กับคนในวงการไม่เว้นในแต่ละวัน จนนักเล่นพากันตะลุยซื้อกันอย่างสนุกสนานพะยะค่ะ

*น่าเสียดายตรงความชื่นมื่นที่เกิดขึ้นเป็นแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เพราะหลังจากนั้นก็เริ่มมีข่าวไม่ดีเกิดขึ้นกับ ACAP พร้อมกับมีการเม้าท์ถึงเรื่องที่มาที่ไปของเงินปล่อยกู้ ซึ่งเป็นตัวแปรที่กดดันให้ราคาหุ้นในกระดานร่วงหล่นลงมาเรื่อย ๆ ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะแดงโร่เมื่อไม่นานมานี้ จนทำให้บอร์ดบริษัทลูก GSC พร้อมใจกันลาออกยกแผง เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมสุมหัวทำเรื่องที่คาบเกี่ยวกับความถูกต้องน่ะซี

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ผู้คนในตลาดหุ้นนำไปผูกโยงกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของ PPPM อาจมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่เคลียร์ไม่ลงตัวของกลุ่มบริษัทดังกล่าว “โมนิก้า” ถึงมองการออกมาให้ข่าวของกลุ่มผู้บริหารเที่ยวนี้อาจเป็นปาหี่เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และเรื่องนี้จะดูสมจริงสมจังเมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 0.99 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 48 ล้านบาท ใช่ไหมเอ่ย?

*ในเมื่อทุกคนมองถึงระบบการเงินที่ฝืดเคืองขึ้นกว่าเดิม “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่เห็นหุ้นบันเทิงอย่าง MAJOR จะโดนผลกระทบดังกล่าวเต็ม ๆ เพราะหลังจากเห็นกำไรไตรมาส 2 ลดลง จนทำให้ตัวเลขงวด 6 เดือนทรุดกว่า 10% หุ้นตัวนี้ก็โดนเทขายแบบไม่เลี้ยงหลายวันติด จนราคาหุ้นไหลลงจากระดับ 30 บาทมาเรื่อย ๆ ก่อนจะลงมายืนอยู่ที่ระดับ 25.75 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 1.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 131 ล้านบาท แบบนี้..อยู่เฉย ๆ ก่อนเลยค่ะ

*สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” สงสัยการทะยานขึ้นของหุ้น DIMET อย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา มันมาจากสาเหตุอะไรกันแน่! ขนาดบริษัทใหญ่ ๆ ยังโดนผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัวจนสะบักสะบอม แล้วบริษัทจิ๊บ ๆ จ๊อย ๆ จะเอาตัวรอดจากผลพวงดังกล่าวได้เหรอ? เดี๊ยนถึงอธิบายการขึ้นมายืนปิดที่ 0.81 บาท บวกไป 0.18 บาท หรือขึ้นไป 28.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15 ล้านบาท อย่างเป็นทางการไม่ถูกจริง ๆ เพราะเดี๊ยนรู้จักหุ้นตัวนี้แค่ในนาม “ไฮโลโปปั่น” เจ้าค่ะ

Back to top button