พาราสาวะถี
ไม่รู้ว่าพูดไปหวังผลอะไร แต่ประสาคนชื่อ วิษณุ เครืองาม ย่อมไม่สักแต่ว่าพูดแน่นอนกับปม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ไปตอบกระทู้ถามของสภาผู้แทนราษฎรปมว.5โฟร์ซีซั่น เพื่อนำมาเทียบเคียงกับการที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ไปตอบญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติที่พรรคฝ่ายค้านยื่นไปเมื่อวันก่อน โดยอ้างว่าสามารถให้คนอื่นไปตอบแทนได้ ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา เมื่อยึดกฎกติกาว่ามาอย่างไร เดินไปตามนั้นไม่มีใครว่า
อรชุน
ไม่รู้ว่าพูดไปหวังผลอะไร แต่ประสาคนชื่อ วิษณุ เครืองาม ย่อมไม่สักแต่ว่าพูดแน่นอนกับปม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ไปตอบกระทู้ถามของสภาผู้แทนราษฎรปมว.5โฟร์ซีซั่น เพื่อนำมาเทียบเคียงกับการที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ไปตอบญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติที่พรรคฝ่ายค้านยื่นไปเมื่อวันก่อน โดยอ้างว่าสามารถให้คนอื่นไปตอบแทนได้ ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา เมื่อยึดกฎกติกาว่ามาอย่างไร เดินไปตามนั้นไม่มีใครว่า
แต่วิษณุที่เป็นเนติบริกรใหญ่คงลืมไปว่า เนื้อหาสาระของสิ่งที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายนั้นรายละเอียดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นการจับแพะชนแกะที่ไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย อย่าลืมว่ากรณีว.5โฟร์ซีซั่นเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านมโนและกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งมีคดีความฟ้องร้องกันและศาลก็ตัดสินเอาผิดกับคนที่โจมตีในประเด็นนี้ไปแล้ว ก่อนที่จะมีการยอมความกันในภายหลัง พูดให้ชัดเข้าใจง่ายก็คือ เรื่องของยิ่งลักษณ์เป็นสิ่งไร้สาระ
ขณะที่ความผิดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ใช่เรื่องเล็กหรือวิษณุจะบอกว่านี่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่จำเป็นต้องแก้ไข ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร และไม่ต้องไปรอฟังกระบวนการที่มีคนยื่นร้องใด ๆ นี่เป็นแค่เกมการเมืองที่ฝ่ายค้านหยิบขึ้นมาโจมตีโดยหาได้มีสิ่งใดเป็นความผิดพลาดไม่ ซึ่งทุกอย่างมันชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว อาการดิ้นที่เป็นอยู่ก็เพื่อรักษาภาพของผู้นำกับคณะรัฐมนตรีไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผิดเต็มประตู
ขนาดพวกเดียวกันที่มีต้นทุนทางสังคม ไม่เห็นมีใครออกมากางปีกปกป้องแม้แต่รายเดียว อย่างดีก็แค่ไม่ชอบใจที่ฝ่ายค้านเล่นไม่เลิก จึงส่งเสียงในทำนองให้หยุดแล้วโยนประเด็นเรื่องนำความเดือดร้อนของประชาชนมาเสนอรัฐบาลจะดีกว่า ซึ่งก็เป็นเรื่องของพวกขี้แพ้ชวนตีธรรมดานี่เอง ล่าสุด เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกมาวิเคระห์เป็นฉาก ๆ ต้องขีดเส้นใต้คือ คำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ขาดหายไปคือ “จะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
อันหมายถึงเป็นการขาดการปฏิญาณประเด็นสำคัญไปว่าจะบริหารประเทศด้วยระบบนิติรัฐนั่นเอง การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ครม.ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ย่อมมีความหมายว่า ต้องปฏิญาณตนต่อปวงชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจผ่านพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ดังนั้น การขาดข้อความหรือไม่ได้ปฏิญาณในประเด็นสำคัญซึ่งสะท้อนความเป็นนิติรัฐของการบริหารและปกครอง จึงขาดตกข้อความประเด็นสำคัญ
แต่เจิมศักดิ์ก็ยังมองโลกในแง่ดี โดยชี้ว่าถ้าสังเกตดูรูปการและประโยชน์ที่ได้จากการกล่าวคำปฏิญาณไม่ครบแล้ว เชื่อได้ว่าพลเอกประยุทธ์ผู้นำการกล่าวปฏิญาณคงไม่มีเจตนาที่จะละเว้นหรือจงใจกระทำเช่นนั้น ดังนั้น จึงต้องรอกระบวนการพิจารณาขององค์กรอิสระที่จะตัดสินในเรื่องนี้ซึ่งคงหนีไม่พ้นศาลรัฐธรรมนูญ และในมุมมองของเจิมศักดิ์ก็น่าสนใจ
โอกาสคงมีน้อยมากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้การถวายสัตย์ปฏิญาณที่ไม่ครบถ้วนขาดข้อความประเด็นสำคัญ เป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณที่ชอบแล้วตามรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นบรรทัดฐานให้ครม.ชุดต่อ ๆ ไป จะถวายสัตย์ปฏิญาณขาดตกต่อเติมข้อความได้ด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น คำวินิจฉัยจึงจะออกมาในรูปรอยที่ว่า การถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนแต่เป็นการขาดเจตนา จึงให้การกระทำการใด ๆ ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยเป็นไปตามนั้น พูดง่าย ๆ ว่าไม่เป็นโมฆะ
ส่วนความผิดจากการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน ก็อาจจะให้ครม.ขอพระราชทานอภัยโทษ และขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณอีกครั้งให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 อันจะเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป นี่คนกันเองมองขาดไปถึงตรงนั้น ก่อนที่จะตบท้ายในเรื่องการหนีสภาของท่านผู้นำว่าอย่าได้ทำตาม ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สองพี่น้องที่สมัยเป็นผู้นำประเทศ ไปตอบกระทู้ถามของสภาเพียงแค่ปีละหนเท่านั้น
ในฐานะที่อยู่กับสภามานานความเห็นของเจิมศักดิ์จึงน่าจะเป็นสิ่งที่เนติบริกรข้างกายท่านผู้นำคงไม่ได้ชี้แนะ เพราะความจริงการไปตอบกระทู้ถามสดของส.ส.นั้น จะมีคนถามแค่คนเดียวและถามได้เพียง 3 คำถามเท่านั้น ส.ส.คนอื่นอภิปรายไม่ได้ ถ้าพลเอกประยุทธ์เลือกที่จะไปตอบคำถามตั้งแต่แรกป่านนี้ก็จบเรื่องไปแล้วและรอเพียงแค่กระบวนการวินิจฉัยขององค์กรที่มีคนไปยื่นร้องเท่านั้น พอไม่ไปและฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่
เพราะนั่นหมายความว่าท่านผู้นำและครม. จะไม่โดนตั้งคำถามจากส.ส.เพียงคนเดียวเหมือนกระทู้ถาม แต่ส.ส.จำนวนมากในสภาจะรุมสกรัมโดยที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะอภิปรายช่วยได้ จะคัดค้านหรือปกป้องก็ยังยาก ทำได้แค่ตีรวน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่ารัฐบาลเรือเหล็กต้องรับศึกหนัก และด้วยการมองเห็นสิ่งที่รออยู่ข้างหน้านี่กระมัง ทำให้มือกฎหมายประจำรัฐนาวาสืบทอดอำนาจ จึงรีบดักคอฝ่ายค้านว่าด้วยเรื่องของยิ่งลักษณ์ไม่ไปตอบคำถามฝ่ายค้าน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าเทียบเคียงกันไม่ได้
จะว่าไปแล้วเรื่องการพาดพิงอดีตนายกฯ หญิงรวมถึงรัฐบาลที่ถูกเผด็จการคสช.ยึดอำนาจ ก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น มีมาตลอดเวลากว่า 5 ปี อะไรที่ทำไม่ได้แก้ไขไม่สำเร็จเรามักจะได้ยินผู้นำเผด็จการและลิ่วล้อโยนให้เป็นความผิดของรัฐบาลก่อนหน้าอยู่บ่อยครั้ง แรก ๆ กองเชียร์และคนทั่วไปอาจเอาด้วย แต่พอระยะเวลาเนิ่นนานมาคนชักจะไม่ชอบใจ เพราะเห็นว่าที่โยนภาระไปให้คนที่ถูกยึดอำนาจนั้น แท้ที่จริงก็เพียงแค่หาแพะมารับกรรมในสิ่งที่ตัวเองทำไม่สำเร็จเท่านั้น
ที่เห็นเด่นชัดก็เรื่องเศรษฐกิจนี่ไง กว่า 5 ปีผ่านไปนอกจากแก้ไขไม่ได้ทั้งที่การเมืองมีเสถียรภาพและตัวเองกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แสดงให้เห็นถึงความบ่มิไก๊ไร้ฝีมือของทีมเศรษฐกิจคณะเผด็จการ ทีนี้หลังสืบทอดอำนาจสำเร็จ คงต้องให้โอกาสอีกระยะว่าจะแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้หรือไม่ ซึ่งถ้าทำไม่ได้หนนี้จะไปโทษใครอีกไม่ได้เหมือนกัน เพราะทุกอย่างตัวเองและคณะทำมากับมือล้วน ๆ เช่นนั้นคงบอกได้คำเดียวว่าถึงเวลาวางมือกันแล้วกระมัง