พาราสาวะถี
พักรบ (ปมถวายสัตย์ฯ) ชั่วคราว บรรดาส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ทั้ง ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล และ คุณากร ปรีชาชนะชัย จูงมือกันไปต้อนรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ลงไปตรวจพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหาภัยแล้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พร้อมกับหยอดคำหวานทั้งถ้าได้งบ 1,500 ล้านบาทจะยกมือหนุนนายกฯ ขณะที่ครูมานิตย์อวยสุด ๆ ถึงขั้นบอกให้อยู่เกิน 4 ปี และไม่เห็นด้วยกับการที่มีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ
อรชุน
พักรบ (ปมถวายสัตย์ฯ) ชั่วคราว บรรดาส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ทั้ง ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล และ คุณากร ปรีชาชนะชัย จูงมือกันไปต้อนรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ลงไปตรวจพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหาภัยแล้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พร้อมกับหยอดคำหวานทั้งถ้าได้งบ 1,500 ล้านบาทจะยกมือหนุนนายกฯ ขณะที่ครูมานิตย์อวยสุด ๆ ถึงขั้นบอกให้อยู่เกิน 4 ปี และไม่เห็นด้วยกับการที่มีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ
ไม่ต้องไปเทียบเคียงหรือหาตรรกะใดมาอธิบายทั้งสิ้น พูดกันง่าย ๆ เว้ากันซื่อ ๆ ส.ส.ต่างจังหวัดการที่ผู้นำประเทศลงไปพบประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหา ถ้าเป็นโบราณก็จะบอกว่าพระยาเหยียบเมือง ย่อมจะมีเรื่องดี ๆ ที่ทำให้เกิดพัฒนาในพื้นที่ แม้จะต่างพรรคและยืนอยู่คนละขั้ว แต่นั่นเป็นเรื่องของงานในหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องไปว่ากันในสภา ส่วนงานในพื้นที่ใครมาดีแล้วทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ในฐานะตัวแทนของประชาชนต้องให้การต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ในฐานะเจ้าบ้าน
แน่นอนว่า ฝ่ายคู่แข่งอันหมายถึงผู้สมัครส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเองก็ทำได้แค่เพียงแสดงความไม่พอใจแต่ไม่ออกนอกหน้า สิ่งที่ตามมาคือการหยอกล้อเรื่องย้ายพรรคโปรข้ามค่าย แต่ยี่ห้อเพื่อไทยในพื้นที่อีสานคงยากที่คนซึ่งเป็นส.ส.อยู่แล้วจะเปลี่ยนสีเสื้อ เพราะโอกาสสอบตกมีสูง เห็นได้จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ถูกแรงกระแทกหนักหน่วง พลังดูดอันมหาศาล ยังพาเหรดกันเข้าสภาให้พรึ่บ
สรุปแล้ว ภาพที่เห็นเป็นมิตรไมตรีทางการเมืองที่โดยธรรมชาติแล้วต้องเป็นไปตามนั้น ขณะเดียวกันสิ่งที่สาธารณชนได้เห็น ย่อมช่วยยกภาพของการประกาศว่าเป็นรัฐบาลของทุกคน ไม่มีพรรคไม่มีพวกที่บิ๊กตู่ประกาศตั้งแต่วันรับตำแหน่งมีความชัดเจนขึ้นในระดับหนึ่ง ถึงแม้ในความเป็นจริงก็ยังคงมีการแข่งขันและสร้างฐานเสียงเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งก็ตาม ส่วนพวกในพรรคนายใหญ่คงไม่มีใครหมั่นไส้เพื่อนที่ไปเยินยอผู้นำฝ่ายตรงข้ามจนเกินงาม
ขณะที่หัวหน้ารัฐบาลและผู้นำพรรคสืบทอดอำนาจตัวจริงเสียงจริง ไปสร้างสายสัมพันธ์ ทำให้ประชาชนยิ้มได้ แต่อีกฟากฝั่งหนึ่งส.ส.ของพรรคที่ชื่อ สิระ เจนจาคะ ที่นำคณะไปตรวจสอบการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กลับไปสร้างวีรกรรม จนตกเป็นขี้ปากของประชาชนไปทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เพียงแต่แสดงอาการกร่างกับรองผู้กำกับการป้องกันปราบปรามสภ.กะรนเท่านั้น ยังมีการปะทะคารมกับนายกเทศมนตรีกะรนอย่างดุเดือดด้วย
นี่ขนาดเป็นส.ส.สมัยแรกยังเบ่งกล้ามโชว์ขนาดนี้ สะท้อนภาพความเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างอย่างเห็นได้ชัด เห็นภาพชัดนี้แล้วพาลให้นึกถึงอาจารย์ที่ส.ส.รายนี้ให้ความเคารพอย่างพุทธะอิสระ ที่สมัยคุมม็อบปักหลักยังบ้านทรงไทยของสิระก็มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน หรือเป็นการออสโมซิสนิสัย ใจคอมาจากอดีตพระที่ตัวเองนับถือ สรุปแล้วงานนี้มีแต่เสียกับเสียเพราะคนส่วนใหญ่เขาเลือกถือหางฝ่ายตำรวจที่ถูกกระทำมากกว่า
ไม่ว่าประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และบรรดาแกนนำของพรรคจะชี้นิ้วไปที่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่สำหรับบิ๊กตู่ไม่พอใจกับพฤติกรรมเช่นนี้อย่างชัดเจนเช่นกัน เมื่อให้สัมภาษณ์นักข่าวก่อนประชุมครม.ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ตักเตือนและได้สั่งการไปแล้ว” การจะปัดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวนั้นดูเหมือนมักง่ายเกินไป เพราะที่สิระอ้างกับคนซึ่งไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ด้วยนั้นคือการบอกว่าตัวเองเป็นส.ส.ที่มาปกป้องแผ่นดินของประเทศ
เมื่อยกฐานะความเป็นส.ส.มาเป็นเกราะป้องกัน ย่อมหมายความว่า เป็นการใช้สถานะในสังกัดพรรคพลังประชารัฐอย่างชัดเจน จะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคอย่างไรก็เป็นเรื่องลำบาก คงต้องมีมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใดในการที่จะลงโทษเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาอย่าง แต่ใช่ว่าจะมีแค่กรณีของสิระเท่านั้นที่ทำให้ภาพนักการเมืองของพรรคที่อ้างว่าจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองมีเครื่องหมายคำถาม พฤติกรรมของทีมงานการเมืองประจำรัฐมนตรีก็เป็นสิ่งที่สร้างความอิดหนาระอาใจกับบรรดาข้าราชการประจำกันอยู่ไม่น้อย
เหตุเกิดที่กระทรวงยุติธรรม กับทีมงานของ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ก่อนหน้ามีข่าวว่าไปไล่ตามไล่ล้วงหางบลับงบประชาสัมพันธ์ จนท่านรัฐมนตรีต้องออกมาปฏิเสธไปแล้วหนหนึ่ง ล่าสุด อึกทึกครึกโครมจนต้องรีบไปเคลียร์ใจกับ พันตำรวจเอกณรัชต์ เศวตนันท์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ หลังเจ้าตัวออกมาโวยถูกทีมงานรัฐมนตรีบุกตรวจสอบข้าราชการประจำด้วยการใช้ข้อมูลจากบัตรสนเท่ห์มากล่าวหา จากการโจมตีความไม่โปร่งใสและล็อกสเปกอุปกรณ์เสริมความมั่นคงในเรือนจำ 4 แห่งของกรมราชทัณฑ์
งานนี้สมศักดิ์ยอมรับได้รับเรื่องร้องเรียนมา แต่วิธีการของทีมงานอาจจะไม่เหมาะสมและเกินเลยไปบ้าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อต้องการทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด ทว่าปมที่เกิดขึ้นก็ยังถูกย้ำแผลต่อกับข่าวเล็ดลอดว่ารัฐมนตรียุติธรรมหาช่องย้ายอธิบดีกรมคุก จนเจ้าตัวต้องออกมาประกาศกร้าวไม่เคยคิดย้าย ไม่มีแน่นอน ขอให้สบายใจได้ แต่ที่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสุโขทัยติดใจคือประเด็นงบประชาสัมพันธ์ของกระทรวงที่ถูกสื่อจี้ถามบ่อยครั้ง
เหมือนรู้ทางและรู้ทัน สมศักดิ์รีบดักคอถึงตอนนี้เข้าใจแล้วว่ามันอาจจะไปทับเส้นทางใคร ดังนั้น ขอบอกว่าคนที่เคยทำมาหากินอยู่ในงบประมาณประชาสัมพันธ์ ตนไม่ได้ไปแตะต้องอะไร เพียงแต่ต้องเน้นให้ถูกจุดและมาช่วยกันทำ งานนี้ใครที่ทำมาหารับประทานกับงบตรงนี้คงสะดุ้งกันเป็นแถว แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นคนในแวดวงทั้งที่เป็นสื่อกระแสหลักและพวกที่เป็นสื่อแต่มีบริษัทเป็นของตัวเอง
ประเด็นย้ายฝั่งของส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ถือเป็นเรื่องน่าสนใจเมื่อ 6 ส.ส.แบ่งเสียง 4 รายไปถือหางรัฐบาล มี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ นิยม วิวรรธนดิฐกุล เท่านั้นที่ยังคงปักหลักอยู่กับพรรคฝ่ายค้าน ไม่รู้จะเรียกว่าแบ่งบทกันเล่น เหยียบเรือสองแคมหรืออะไรก็แล้วแต่ 22 สิงหาคมนี้จะมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าว ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรมาก รู้กันอยู่ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร ประชาชนโดยเฉพาะคนที่เลือกคงได้แต่มองตาปริบ ๆ และนี่ไงผลพวงจากรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการที่ทำให้เกิดเรื่องประหลาด ๆ แบบนี้ได้