รัฐมั่นคง Vs ฟรีวีซ่า
มาตรการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน-อินเดีย เที่ยวไทย 15 วัน แท้งไปแล้ว ตามคำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “เป็นไปไม่ได้” โดยเจ้าตัวไม่ต้องพูดในที่ประชุม ครม.สักคำ ผู้เฒ่าดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นตัวตั้งตัวตีแข็งขัน เรื่องความมั่นคง “วราวุธ มาเรียม” เป็นลูกคู่ เรื่องอนุรักษ์ จนหัวหน้าตู่ยอมตาม
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
มาตรการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน-อินเดีย เที่ยวไทย 15 วัน แท้งไปแล้ว ตามคำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “เป็นไปไม่ได้” โดยเจ้าตัวไม่ต้องพูดในที่ประชุม ครม.สักคำ ผู้เฒ่าดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นตัวตั้งตัวตีแข็งขัน เรื่องความมั่นคง “วราวุธ มาเรียม” เป็นลูกคู่ เรื่องอนุรักษ์ จนหัวหน้าตู่ยอมตาม
สาธิต เซกัล ประธานสมาคมนักธุรกิจอินเดีย-ไทย คงผิดหวังน่าดู อุตส่าห์รักเมืองไทยกระทั่งร่วมปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง ฝ่ายความมั่นคงยังกลัวนักท่องเที่ยวอินเดียเป็นภัย สาธิตให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยว่า เป็นความรับรู้แบบคนโบราณ เห็นแขกกับงูให้ตีแขกก่อน ทั้งที่คนอินเดียกำลังรวย
ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวก็ผิดหวังไปตาม ๆ กัน หวังจะให้เปิดประเทศแบบญี่ปุ่น รับนักท่องเที่ยวไทย ขนเงินไปญี่ปุ่นกันครึกครื้น บางคนปีละ 2-3 ทริป ทำไมเราทำบ้างไม่ได้
แต่พูดก็พูดเถอะ ญี่ปุ่นไม่ใช่ไทย นักท่องเที่ยวหลั่งไหล ประเทศเขาดูแลได้ ทั้งความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สิน และสภาพแวดล้อมทั้งหลาย ส่วนเมืองไทยนะหรือ ใครไว้ใจบ้างว่าจะไม่เละ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่สนับสนุนฝ่ายความมั่นคง เมืองไทยเหนือชาติใดในโลก แผ่นดินไทยแผ่นดินทอง กลัวคนต่างด้าวมายึดครอง มาแย่งทำกิน มาใช้โรงพยาบาล ออกลูกออกหลาน ฯลฯ ออกมาตรการเข้มงวดไปเสียทุกอย่าง ทั้งที่ต้องการให้ต่างชาติมาลงทุน มาท่องเที่ยว หรือมาทำงาน
ทั้งสองด้านมีปัญหาพอกัน คือฝ่ายความมั่นคงยังคิดอยู่ในโลกใบเก่า ย้อนยุคสงครามเย็น แต่ฝ่ายเศรษฐกิจ ก็คิดง่ายปุบปับไปหน่อย
ที่จริงชั่งน้ำหนักแล้ว เป็นมาตรการที่ควรจะทำ แต่ต้องเตรียมการ เป็นขั้น ๆ ไป โดยฝ่ายความมั่นคงนั่นแหละ ต้องปรับประสิทธิภาพบริหารจัดการ การดูแลความปลอดภัย ให้ใกล้เคียงมาตรฐานญี่ปุ่นสักหน่อย
ฟรีวีซ่าแท้ง เป็นภาพสะท้อนของระบอบ ที่อยู่ใต้อำนาจฝ่ายความมั่นคงมา 5 ปี ใต้ทัศนะชาตินิยม ความมั่นคงต้องมาก่อน เศรษฐกิจเป็นที่สอง ประชาธิปไตยไว้ท้าย ๆ
แต่พอจำใจต้องเลือกตั้ง สืบทอดอำนาจโดยใช้นักการเมืองเป็นเครื่องมือ ก็ต้องยอมให้ฝ่ายการเมืองมีบทบาท มีเสียงดัง รับข้อเสนอภาคเอกชน ข้อเรียกร้องของประชาชน มาดำเนินนโยบายเอาใจ ในภาวะที่ได้อำนาจไม่ชอบธรรม ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ก็ต้องเอาใจชาวบ้านเยอะ ๆ
กระนั้น ฝั่งการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล ก็เป็นก๊วนการเมืองต้นทุนต่ำ เครดิตไม่ค่อยมี จึงคว้าอะไรก็ได้ มาขายเฉพาะหน้า เอาใจประชาชนแบบมักง่าย บางเรื่องก็ดูดี บางเรื่องก็มีคำถาม เช่นที่จะขยายอายุใช้งานรถตู้ 10 เป็น 12 ปี ไม่บังคับให้เปลี่ยนเป็นมินิบัส ก็ถูกด่าขรมโดยนักวิเคราะห์วิจัยอุบัติเหตุ (ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้โดยสารรถตู้)
ประเด็นที่น่าขันกว่า ไม่ใช่ใครผิดใครถูก แต่เป็นการกลับหัวกลับหาง หน้ามือเป็นหลังมือ
ประยุทธ์ 1 รัฐราชการเป็นใหญ่ เข้มงวดจัดระเบียบ รถตู้ หาบเร่ แผงลอย สถานบริการ ประมง แรงงานต่างด้าว ฯลฯ โดยไม่ฟังเสียงใคร ไม่ศึกษาวิธีจัดการที่เหมาะสม ใช้อำนาจกวาดหมด
แต่วันนี้ ประยุทธ์ 2 ต้องพึ่งนักการเมืองหาเสียง กลับจะแกว่งไปตรงข้าม เช่นหลัง 5 ปี เด้งตำรวจไปมากมาย ฐานปล่อยให้สถานบริการเปิดเกินเวลา พิพัฒน์ รัชกิจประการ ก็จะเสนอให้เปิดสถานบันเทิงบางพื้นที่ถึงตีสี่
ไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูก อาจเห็นด้วยก็ได้ แต่มันน่าหัวร่อไหม 5 ปีเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้จะผ่อนคลาย โดยไม่ยักโทษรัฐบาลที่แล้ว ว่าทิ้งปัญหาไว้