‘ทรัมป์’ Effect
จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว
กับคำกล่าวของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำของสหรัฐฯ เกี่ยวกับสงครามการค้ากับประเทศจีน
ล่าสุด ทรัมป์ บอกว่า สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 30% จาก 25% ในปัจจุบัน
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ และเป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทรัมป์ยังประกาศปรับขึ้นภาษีที่ได้วางแผนไว้สำหรับสินค้าจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 15% จาก 10% ด้วย
และจะเริ่มเก็บภาษีผลิตภัณฑ์บางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้เช่นกัน และเลื่อนการเก็บภาษีสินค้าดังกล่าวราวครึ่งหนึ่งไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. 62
ตลาดหุ้นนิวยอร์กรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาแล้ว
หรือช่วงกลางคืนตามเวลาในประเทศไทย
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียมารับผลกระทบในช่วงเช้าวันจันทร์ 26 ส.ค. เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย
ก่อนหน้านี้หากติดตามคำกล่าวของทรัมป์เกี่ยวกับสงครามการค้ากับจีน
เขาออกมาขู่ทำนองแบบนี้บ่อยมาก
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน หรือพอเวลาผ่านไปสักพัก
ทรัมป์ก็จะกลับกลายเปลี่ยนแปลงไปอีกคน ด้วยการออกมาบอกว่า “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนน่ารัก มีวิสัยทัศน์ ฯลฯ
พร้อมกับการประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนออกไป ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ลดแรงกดดันจากเรื่องดังกล่าว และเริ่มฟื้นตัว
ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นแบบนี้มาหลายรอบแล้วครับ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ทว่า บรรดานักวิเคราะห์ เอง ต่างก็พยายามเตือนนักลงทุน อย่ามองข้ามเรื่องสงครามการค้า
เพราะเรื่องนี้ยังไม่ได้แก้ปัญหากันแบบสะเด็ดน้ำ จึงมีโอกาสที่จะ “ปะทุ” ได้ทุกขณะ จึงให้เลี่ยงลงทุนหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไว้ก่อน
การออกมากล่าวของทรัมป์ในรอบล่าสุดนี้
ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่า จะพลิกไปพลิกมาเหมือนก่อนนี้หรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ เชื่อว่า จีนเองน่าจะตอบโต้ หรือชิงลงมือต่อสหรัฐฯ เช่นกัน พร้อมกับให้จับตาเกี่ยวกับ “ค่าเงินหยวน”
ล่าสุดของล่าสุด ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากล่าวนอกรอบการประชุม G7 เมื่อวานนี้ช่วงบ่าย ๆ ตามเวลาประเทศไทยว่า “จีนต้องการที่จะกลับมาเจรจาในประเด็นการค้าใหม่อีกรอบ”
ขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนทรัมป์
เขาบอกว่า นโยบายการค้าของสหรัฐฯ นั้นไม่มีทิศทาง และเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ กลัวที่สุด
ส่วน บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของทรัมป์ในกลุ่ม G7 ออกมาบอกเช่นกันว่า
“เราไม่ชอบการเรียกเก็บภาษี และอังกฤษชอบการค้าที่สงบเรียบร้อยมากกว่า”
แม้จะมีข่าวที่ดูแล้วว่าอาจจะพอเห็นแนวทางความสงบสุขของการค้าบ้าง
แต่เชื่อว่านักลงทุนต่าง ๆ ยังคงเข็ดขยาด และเฝ้าจับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ กับ จีนต่อไป
ส่วนตลาดหุ้น อาจจะฟื้นตัวขึ้นมาได้
แต่ไม่น่าจะไปได้ไกลนัก เพราะยังมีเรื่องสงครามการค้าเข้ามาเหนี่ยวรั้ง
นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นของประเทศไทยเองต่างก็เชื่อว่า เรื่องนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ แน่นอน และจะเป็นประเด็นที่จะเข้ามากดดันตลาดเป็นระยะ
ในเชิงเทคนิคดัชนีตลาดหุ้นไทย
แนวรับแรก 1,620-1,615 จุด เชื่อว่าจะรับอยู่
แต่หากไม่อยู่จริง ๆ ยังมีแนวจิตวิทยาคือ 1,600 จุด ที่จะเป็นแนวรับถัดไป
ดัชนีที่ระดับดังกล่าวทำให้ พี/อี ตลาดหุ้นไทย ลงมาอยู่ที่ 14-15 เท่า (เท่านั้น) และเป็นจุดที่หุ้นหลายตัวน่าซื้อ
ส่วนหุ้นที่เกี่ยวกับสงครามการค้าจะค่อย ๆ ถูกทยอยขายออกมา (โดยเฉพาะแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน) หรือไม่ก็จะเป็นหุ้นที่ถูกปรับสถานะให้เล่นเก็งกำไรเป็นรอบ ๆ
เชื่อว่า “ทรัมป์ Effect” จะยังคงมีอยู่ต่อไป
และอาจจะยาวไปถึงการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในปลายปี 2563