พาราสาวะถี

แสดงว่ายังเข็ดขยาดกับเรตติ้งที่ดันไม่ขึ้นตลอดเวลากว่า 5 ปีที่จัดรายการผ่านหน้าจอโทรทัศน์ทุกคืนวันศุกร์ วันวานจึงได้ยินคำตอบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกนักข่าวว่า “พูดไปเรื่อย” กรณี เทวัญ ลิปตพัลลภ ที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์จะเสนอให้ท่านผู้นำสืบทอดอำนาจคืนจอในรูปแบบรายการนายกฯ พบประชาชน เหตุผลส่วนตัวคงเข้าใจดีแล้วว่า สิ่งที่ตัวเองนำเสนอนั้นมันไม่ได้ดึงดูดใจ ยิ่งเป็นเนื้อหาที่บรรดาพวกสอพลอชงให้ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง กลับมาอีกทีก็จบเห่เหมือนเดิม


อรชุน

แสดงว่ายังเข็ดขยาดกับเรตติ้งที่ดันไม่ขึ้นตลอดเวลากว่า 5 ปีที่จัดรายการผ่านหน้าจอโทรทัศน์ทุกคืนวันศุกร์ วันวานจึงได้ยินคำตอบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกนักข่าวว่า พูดไปเรื่อย” กรณี เทวัญ ลิปตพัลลภ ที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์จะเสนอให้ท่านผู้นำสืบทอดอำนาจคืนจอในรูปแบบรายการนายกฯ พบประชาชน เหตุผลส่วนตัวคงเข้าใจดีแล้วว่า สิ่งที่ตัวเองนำเสนอนั้นมันไม่ได้ดึงดูดใจ ยิ่งเป็นเนื้อหาที่บรรดาพวกสอพลอชงให้ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง กลับมาอีกทีก็จบเห่เหมือนเดิม

มันไม่ได้อยู่ที่ว่าประชาชนอยากรู้ตลอดทั้งสัปดาห์ทำอะไรมาบ้าง หรือตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งทำอะไรไปแล้วบ้าง หากอยู่ที่วิธีการนำเสนอและการแสดงวิสัยทัศน์ว่า ที่ทำมาแล้วทำไมถึงไม่สำเร็จแล้วจะแก้ไข บริหารจัดการอย่างไร ถ้าไร้ซึ่งทิศทางและยังทำให้ปากท้องของประชาชนอยู่ดีกินดีไม่ได้ การกลับมาภาคใหม่นอกจากจะพบกับความเบื่อหน่ายและรำคาญแล้ว อาจจะได้ยินเสียงบ่นกันดังขรมไปทั้งประเทศก็เป็นได้ อยู่เฉย ๆ ดีกว่าจะได้ไม่มีใครมาค่อนแคะว่าทำให้ประชานมีช่วงเวลาประหยัดไฟ

ส่วนคนเสนอคงไม่ละความพยายามเพราะต้องสร้างผลงาน หากแต่จะโน้มน้าวให้ท่านผู้นำคล้อยตามอย่างไรนั่นก็อีกเรื่อง คงต้องกลับไปดูโจทย์ของคนที่เรียกเรตติ้งให้ช่อง 11 และวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยได้อื้ออึงทั้งที่เป็นช่วงเวลาภาคบังคับเช้าวันเสาร์ นั่นก็คือห้วงที่คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร และ สมัคร สุนทรเวช เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ประชาชนฟัง แค่แนะนำหนังสือให้อ่านก็ยังสร้างความฮือฮา แต่ท่านผู้นำสืบทอดอำนาจบอกคนให้อ่านมากว่า 5 ปี มีแต่คนประชดประชันไม่ยักคล้อยตาม

อย่าอ้างเรื่องที่มา เพราะเวลานี้ถือว่าเท่ากันแล้วเมื่อคณะสืบทอดอำนาจการันตีตัวเองว่ามาจากการเลือกตั้ง แม้จะไม่ได้เป็นพรรคที่ชนะด้วยเสียงส.ส.ก็ตาม อีกหนึ่งเหตุผลที่ท่านผู้นำไม่อยากกลับมาจัดรายการ คงขี้เกียจไปนั่งอ่านความเห็นของประชาชน ประสาคนที่ชอบแต่คำชมไม่อยากเห็นคำด่า ทำไปทำมามีแต่จะติดลบ แล้วเกิดพวกที่มาช่วยมอนิเตอร์ไปตีความหมายของคนที่ร่วมแสดงความเห็นผิด ไปดำเนินคดีอะไรเข้า จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ไม่คุ้มเสียไปอีก

ดังนั้น การเลือกไปลงพื้นที่พบปะประชาชนโดยตรง ยังจะได้ยินเสียงอันไพเราะเสนาะหูมากกว่า ว่าแล้วท่านผู้นำก็จะพาคณะลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุโขทัยและพิษณุโลกในวันนี้ แต่พี่ใหญ่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ร่วมคณะมาด้วย โดยวางปฏิทินจะไปลงพื้นที่ที่ขอนแก่นพร้อมแจกโฉนดหาเสียง อุ๊บ!ช่วยผู้เดือดร้อนในวันที่ 7 กันยายนนี้ งานนี้ไม่เกี่ยวกับหนีสภาไม่ไปตอบกระทู้ เพราะมีญัตติซักฟอกแบบไม่ลงมติรออยู่

ฟังจาก วิษณุ เครืองาม ยืนยันว่าปมถวายสัตย์ฯ จะต้องจบในสภา แต่คำถามต่อมาคือจบแบบไหน จบในแบบที่ว่ารอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาอย่างไร ท่านผู้นำและรัฐบาลพร้อมจะปฏิบัติตามอย่างนั้นเปล่า ถ้าแบบนั้นเขาเรียกว่าจบแบบไม่จบ แต่คงไม่มีอะไรที่จะเซอร์ไพรส์นอกเหนือความคาดหมายมากไปกว่านี้ ที่เหลือรอแค่ดูลีลาและการนำเสนอของพรรคฝ่ายค้าน จะมีการเปิดประเด็นอะไรที่ทำให้ฝ่ายสืบทอดอำนาจอ้าปากค้างไปไม่เป็นอีกหรือไม่

อย่าลืมเป็นอันขาด ประเด็นถวายสัตย์ฯ ถูกเปิดโดย ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ยกเอาข้อกฎหมาย เนื้อหาในรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวตั้ง แล้วเกิดปุจฉาต่อไปว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ แรกเริ่มเดิมทีเนติบริกรข้างกายท่านผู้นำก็ยังพยายามจะออกลูกศรีธนญชัย แต่จำนนด้วยหลักฐานอันเป็นลายลักษณ์อักษรที่ตัวเองเขียนมากับมือ จนต้องออกอาการใบ้รับประทาน ดังนั้น การเมืองยุคนี้อย่าคิดว่าจะมีแต่พวกตีสำบัดเล่นสำนวนแล้วประชาชนจะเกิดความเบื่อหน่าย

ทุกอย่างว่ากันด้วยข้อเท็จจริง และยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ทำให้เห็นแล้วผ่านการอภิปรายของคนหน้าใหม่ในสภา ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าของจริงหลายคน บรรดาผู้ทรงเกียรติที่อยู่ในสภามาจนผมเปลี่ยนสียังทำได้ไม่ดีเท่าคนเหล่านี้ นี่แหละความหวังของการเมืองในยุคปฏิรูปของแท้ ผิดจากพรรคที่อ้างว่าเป็นผู้นำการปฏิรูป แต่สุดท้ายก็เล่นการเมืองน้ำเน่าแบบเดิม ยิ่งตัวละครที่ออกมากัดจิกฝ่ายตรงข้าม ใหม่แต่หน้าทว่าท่วงทำนอง จังหวะก้าวหาได้ก้าวไปข้างหน้าไม่

โดยเฉพาะพวกที่ปากบอกว่าขอให้เล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่ตัวเองพ่นน้ำลายออกมานั้น ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันฝ่ายตรงข้าม จนลืมกำพืดกันไปแล้วว่า ที่มาของการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น มาด้วยวิธีแบบไหน ไม่ต่างจากพวกส.ว.ลากตั้งที่ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้มีพระคุณ อ้างสารพัดเหตุผลเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเอง แต่ท้ายที่สุดมันก็หนีธาตุแท้ของตัวเองไม่ได้ว่าถูกทำคลอดมาจากปลายกระบอกปืน ยังจะมีหน้ามาอ้างประชาธิปไตยให้คนสมเพชกันอีก

ฟังอีกหนึ่งกระบอกเสียงพรรคสืบทอดอำนาจ ออกมาตอบโต้ฝ่ายค้านเรื่องเศรษฐกิจแย่ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับสร้างปัญหา มิหนำซ้ำ ยังกล้าพูดอีกว่าเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้นด้วยนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้ดูบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมรอบตัวว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้อยแถลงของ ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสศช.เรื่องหนีครัวเรือนน่าจะเป็นตัวบ่งบอกและตบหน้ากระบอกเสียงรายนั้นไปฉาดใหญ่

หนี้ครัวเรือนของไทยไตรมาสเเรกปี 2562 พุ่ง 13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 27 เดือน และสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย เป็นรองแค่เกาหลีใต้และรั้งอันดับ 11 ของโลก จาก 74 ประเทศ โดยมีหนี้ที่ต้องจับตาคือ หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต ที่มีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง หนี้สองตัวที่มีแนวโน้มสูงขึ้นนั้น น่าจะเป็นผลสะท้อนความกินดีอยู่ดีของประชาชนได้อย่างเด่นชัดว่าเป็นอย่างคำโพนทะนาหรือไม่

ความเห็นจาก จาตุรนต์ ฉายแสง จึงน่าจะเป็นบทสรุปที่ดีต่อประเด็นนี้ที่ว่า ขณะที่องค์กรทางเศรษฐกิจทั้งธนาคารพาณิชย์ สภาพัฒน์และแบงก์ชาติกำลังวิตกเรื่องหนี้ครัวเรือนและกำลังคิดกันว่าจะหาทางเข้มงวดมากขึ้นอย่างไร รัฐบาลกลับออกมาตรการทางเศรษฐกิจที่ซ้ำเติมปัญหานี้ทำให้แก้ยากและอาจจะเป็นปัญหาร้ายแรงในระยะยาวต่อไป การเอานายกฯ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรมาคุมนโยบายเศรษฐกิจ สิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำอยู่จึงสวนทางกับที่ฝ่ายต่าง ๆ เป็นห่วงและสวนทางกับสิ่งที่ควรจะทำควรจะเป็นอย่างสิ้นเชิง

Back to top button