ARROW ยังเติบโต!

ถือว่าเป็นการตอกย้ำการเติบโตต่อเนื่องของ ARROW หลังมีการประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของบริษัทจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก


คุณค่าบริษัท

ถือว่าเป็นการตอกย้ำการเติบโตต่อเนื่องของ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW หลังมีการประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของบริษัทจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับผลดีจากราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวลดลง ซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กอยู่ที่ 21-23 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากเดิมที่ 22-25 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ขณะเดียวกันก็ได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ซื้อวัตถุดิบเข้ามาในราคาต่ำลง โดยปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกเหล็กราว 4,000-5,000 ตัน

อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานใหม่ หลังจากได้เข้าไปประมูลงานท่อร้อยสายไฟของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง มูลค่างานประมาณ 40 ล้านบาท คาดว่าจะทราบผลในไตรมาส 4/2562

นอกจากนั้น ยังรอผลการประมูลงานท่อร้อยสายไฟใต้ดินที่บริษัทได้ลงทุนในกิจการร่วมค้า (Joint Venture) เพื่อประกอบธุรกิจก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคเกี่ยวกับงานวางท่อสายส่งไฟฟ้ากำลังและสายสัญญาณสื่อสาร โดยพันธมิตรเป็นผู้เข้ายื่นประมูลงาน และ ARROW เป็นผู้รับงานต่อเนื่อง

บริษัทคาดหวังได้รับงานที่เข้าประมูลเข้ามาเกิน 50% ของมูลค่างานทั้งหมด ซึ่งน่าจะส่งผลให้งานในมือ (Backlog) ปรับตัวเพิ่มเป็น 1,200 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี Backlog ราว 1,100 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยส่งมอบงานและรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับทางผู้บริหารมองภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น โดยยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 10-15%

เนื่องด้วยผลการดำเนินไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 373.55 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 305.42 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น และรายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่  56.16 ล้านบาท หรือ 0.22 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 26.96 ล้านบาท หรือ 0.11 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 736.12 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 689.56 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 98.70 ล้านบาท หรือ 0.39 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 65.46 ล้านบาท หรือ 0.26 บาทต่อหุ้น

เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของบริษัทเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจต่อการลงทุนของนักลงทุน ก็พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 1,037.86  ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 437.06 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 2.37 เท่า แสดงว่า ฐานะทางการเงินมากเกินความจำเป็น

ส่วนหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 471.43 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 1,111.01 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.42 เท่า ถือว่า ปัญหาหนี้สินยังไม่มีมารบกวนทางบริษัท

สิ่งสำคัญทางด้านค่า P/E ที่ 12.27 เท่า ถือว่าราคาหุ้นยังไม่แพง

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท แอลเค ซินดิเคท จำกัด 67,528,874 หุ้น 26.61%
  2. นายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ 66,908,017 หุ้น 26.37%
  3. นางประครอง นามนันทสิทธิ์ 17,980,506 หุ้น 7.09%
  4. นางกมลภัทร วงค์ชัยสิทธิ์ 10,778,510 หุ้น 4.25%
  5. น.ส.สี แซ่เตีย 9,003,976 หุ้น 3.55%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายวิชัย โถสุวรรณจินดา ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  3. นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ, กรรมการ
  4. นายภาณุพงศ์ วิจิตรทองเรือง กรรมการ
  5. นางประครอง นามนันทสิทธิ์ กรรมการ

Back to top button