พาราสาวะถี
ร้อนฉ่าขึ้นมาทีเดียวเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องปมถวายสัตย์ปฏิญาณของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ครบถ้วน โดยศาลมีมติเอกฉันท์ พร้อมชี้ว่าไม่อยู่ในอำนาจตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด คำถามที่ตามมาคือ เช่นนี้แล้วจะมีผลต่อการยื่นญัตติอภิปรายโดยไม่ลงมติของพรรคฝ่ายค้านที่จะอภิปรายกันในวันที่ 18 กันยายนนี้หรือไม่ หรือนี่คือสิ่งที่ผู้นำสืบทอดอำนาจตีขิมรอยื้อเวลามาจนถึงวันนี้
อรชุน
ร้อนฉ่าขึ้นมาทีเดียวเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องปมถวายสัตย์ปฏิญาณของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ครบถ้วน โดยศาลมีมติเอกฉันท์ พร้อมชี้ว่าไม่อยู่ในอำนาจตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด คำถามที่ตามมาคือ เช่นนี้แล้วจะมีผลต่อการยื่นญัตติอภิปรายโดยไม่ลงมติของพรรคฝ่ายค้านที่จะอภิปรายกันในวันที่ 18 กันยายนนี้หรือไม่ หรือนี่คือสิ่งที่ผู้นำสืบทอดอำนาจตีขิมรอยื้อเวลามาจนถึงวันนี้
ให้มันได้อย่างนี้สิ ฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่อ้างว่าเข้ามาเพื่อการปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะการเมือง แต่พอนักข่าวถามปมของ ธรรมนัส พรหมเผ่า กับคดีความที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย คำตอบของ พลเอกประยุทธ์ ทำเอาอึ้งกิมกี่ “ทุกรัฐบาลมีตำหนิ” เอ้าไหนบอกว่ารัฐบาลของตัวเองจะต้องหมดจดสดใส เป็นตัวอย่างของความเป็นคนดี แสดงว่ายอมรับไปในตัวใช่ไหม สิ่งที่คนกล่าวหานั้นมันเป็นความจริง แต่ก็ต้องหลิ่วตาข้างหนึ่ง
หมายความว่าอย่างไร ใครทำประโยชน์ให้ตัวเองได้ ต่อให้เป็นคนเลวอย่างไรก็สามารถที่จะใช้งานต่อไปได้ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องความสง่างามใด ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเหตุผลของการยึดอำนาจที่ผ่านมาเพื่อสืบทอดอำนาจนั้น ข้ออ้างเรื่องการปราบปรามการทุจริต พวกนอกรีต ไร้คุณธรรม โดยเฉพาะนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลว เป็นเพียงแค่ลมปากเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเท่านั้น แท้ที่จริงมันหายวับไปกับตาตั้งแต่โชว์พลังดูดเสพสังวาสกับนักการเมืองเหล่านั้นก่อนเลือกตั้งแล้ว
คาถาสำเร็จรูปของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจวันนี้คือ “ผมตั้งใจเข้ามาทำงานให้ประเทศชาติ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆอย่าถือมาเป็นสาระ ให้มองในสิ่งที่ผมทำ ผมตั้งใจดีเพื่อพี่น้องประชาชน เรื่องอื่นผมไม่สนใจ” คงหลอกได้เฉพาะกองเชียร์ชนิดไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้น แต่คนทั่วไปคงทนไม่ได้ที่จะเห็นภาพของการปล่อยให้ความไม่ถูกต้องมาเบียดบังความจริงที่ปรากฏต่อหน้า ซึ่งก็บอกมาโดยตลอดว่าคนบางพวกนั้นเป็นพันธุ์อย่างหนา จึงลอยหน้าลอยตาอยู่โดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง
ไม่เพียงเท่านั้น การได้เนติบริกรมาคอยสอนวิชาตีมึนและอ้างกฎหมาย โดยบางครั้งก็เห็นชัดว่าไปกันชนิดข้าง ๆ คู ๆ ซึ่งคงไม่มีใครทำอะไรได้ ในเมื่อองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต้องยอมรับความจริงกันว่าได้รับอานิสงส์ให้อยู่ต่อจากปลายกระบอกปืน จากกฎหมายเผด็จการที่ผู้มีใจเป็นกลางเห็นว่ามันไม่ควรจะถูกเรียกว่าเป็นกฎหมาย แต่ฝ่ายมีอำนาจตีความก็ให้การยอมรับ ดังนั้น การที่จะพึ่งหวังบางองค์กรมันจึงเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น
อยากเห็นเหมือนกันกระทรวงดีอีภายใต้การกุมบังเหียนของแกนนำกปปส.อย่าง พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ จะโชว์ผลงานชิ้นโบว์แดงเรื่องการจัดการข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ภายใต้เฟคนิวส์ เซ็นเตอร์ ได้ดีขนาดไหน หากทุกอย่างว่ากันไปตามกระบวนการ ยึดความถูกต้อง ใช้ข้อเท็จจริงเป็นหลักสิ่งที่ทำไปย่อมได้รับเสียงสนับสนุน แต่หากมุ่งหวังเพื่อจัดการกับฝ่ายเห็นต่างทางการเมือง โดยใช้อำนาจที่ตัวเองมีมาเป็นเกราะกำบัง พฤติกรรมเช่นนี้มันก็ไม่ต่างจากนักการเมืองชั่วในอดีตเช่นกัน
พอจะเข้าใจได้ หลังตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมาใช้ปฏิบัติการณ์ข่าวสารสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายครองอำนาจและทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่ผลสัมฤทธิ์นั้นมันไม่เป็นไปตามเป้า เพราะข่าวลือข่าวปล่อยแบบตกยุคนั้นมันใช้ไม่ได้ในยุคสมัยโซเชียลมีเดีย ดังนั้น จึงต้องหันมาเปิดเกมรุกผ่านข้อกฎหมายที่อ้างว่าทำไปเพื่อกำจัดข่าวปลอม ทั้งที่แท้จริงแล้วเพื่อหวังปิดปากกลุ่มที่นำเสนอข่าวสั่นคลอนเสถียรภาพของฝ่ายสืบทอดอำนาจเท่านั้น ทั้งที่หลายเรื่องมีมูลความจริงไม่น้อย
หลายคนคงเดาใจผิดคิดว่า “เสี่ยหมา” พิเชษฐ สถิรชวาล จะยอมเป็นลิงกินกล้วยที่ธรรมนัสคอยป้อนให้ตลอดเวลาแล้วทำตัวเป็นลิงเชื่องอยู่ใต้โอวาท ตามที่มีข่าวเล็ดลอดออกมาทหารที่อยู่พรรคประชาธรรมไทยจำนวนไม่น้อยไม่พอใจต่อการปฏิบัติของฝ่ายสืบทอดอำนาจ เบี้ยวกันหลายหน หลอกกันหลายครั้ง มันเข้าทำนองไม่ให้เกียรติพรรคเล็ก เห็นเป็นของตาย งานนี้กรรมการบริหารพรรคเสี่ยหมาจึงมีมติให้ถอนตัวจากการหนุนรัฐบาลประยุทธ์
โดยที่เสี่ยหมาประกาศหนักแน่น “ผมหลุดจากการกินกล้วยแล้ว คนอื่นอยากกินกล้วยต่อก็เป็นเรื่องของเขา” เป็นธรรมดาของคนที่พลาดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้น การไปเป็นฝ่ายค้านอิสระร่วมกับ “น้องเต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ แห่งพรรคไทยศรีวิไลย์ จึงเป็นหนทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะบางครั้งหากจับข้อมูลแน่น ๆ เล่นกันหนัก ๆ บางทีอาจจะได้กินอาหารหรูมากกว่ากล้วยเสียด้วยซ้ำไป ในภาวะเสียงปริ่มน้ำนั้น ทุกกระบวนท่าเต็มไปด้วยการต่อรองแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น
ต้อนรับการทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ด้วยท่วงทำนองที่ทำเอาผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคแตกตื่น เมื่อ นวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.ขอนแก่น พาพวกไปรุมยำ ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคามถึงในห้องของหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะจงเกลียดจงชังกันขนาดไหน แต่ถึงขนาดที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ก็น่าคิดอยู่เหมือนกันว่า สมควรที่จะไว้วางใจให้ทำหน้าที่ผู้ทรงเกียรติต่อไปอีกหรือไม่ แต่ด้วยกลไกของข้อกฎหมายที่ให้สิทธิส.ส.มากมายมหาศาล ไม่ต้องยึดมติพรรคคงต้องเลี้ยงไว้ดูเล่นกันไปก่อน
ในจังหวะที่พรรคฝ่ายค้านกำลังเตรียมทำศึกใหญ่ มาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะถูกฝ่ายรัฐบาลหยิบยกมาเป็นประเด็นตีรวนสร้างความปั่นป่วนในสภาด้วยหรือไม่ แต่ถ้ามองเป็นเรื่องบาดหมางส่วนตัวก็คงไม่มีอะไร อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากมีส.ส.หน้าใหม่จำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่คิดว่ามีแบ็กดีมักจะชอบวางกล้ามในสภา หากคุมเกมไม่ได้ระวังจะกลายเป็นสภาไต้หวันเข้าสักวัน