พาราสาวะถี

บรรดากองเชียร์คงไม่พลาด ส่วนคนที่อยากรู้อยากเห็นก็น่าจะได้ติดตามชมรายการ Government Weekly นายกฯ คุยกับประชาชน ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าเมื่อช่วงบ่ายสามโมงของวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเทปบันทึกการสัมภาษณ์มาจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เห็นความพยายามของทีมงานที่ต้องการให้ท่านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ ทำให้รายการดูสบาย เข้าใจและเข้าถึงง่ายกว่าที่ผ่านมา


อรชุน

บรรดากองเชียร์คงไม่พลาด ส่วนคนที่อยากรู้อยากเห็นก็น่าจะได้ติดตามชมรายการ Government Weekly นายกฯ คุยกับประชาชน ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าเมื่อช่วงบ่ายสามโมงของวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเทปบันทึกการสัมภาษณ์มาจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เห็นความพยายามของทีมงานที่ต้องการให้ท่านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ ทำให้รายการดูสบาย เข้าใจและเข้าถึงง่ายกว่าที่ผ่านมา

งานนี้ท่านผู้นำยอมรับเอง ต้องทำรูปแบบรายการในลักษณะนี้ไม่ใช่ยืนตัวแข็งทื่อพูดจาผ่านหน้ากล้องเหมือนกว่า 5 ปีที่ผ่านมา แต่ก็เข้าใจว่าคนที่ไม่ชอบยังไงก็ไม่ชอบ ไม่ติดตามอยู่ดี ที่น่าสนใจคือ มีการบอกให้ทีมงานพยายามหาช่องทางในการเผยแพร่รายการให้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย นี่เป็นภาพสะท้อนของความเป็นผู้เข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งการสื่อสารได้เป็นอย่างดี คงเป็นผลพวงมาจากการที่ท่านเป็นนักแสวงหาใน “กูเกิล” นั่นเอง (ฮา)

ไม่ว่าจะอย่างไร ในรายการดังกล่าวปมทิ้งท้ายที่พลเอกประยุทธ์ฝากให้ประชาชนติดตามคือการกล่าวว่า รัฐธรรมนูญก็คือรัฐธรรมนูญ อยากให้สนใจ ให้ความสำคัญกับกฎหมายลูกที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะถือเป็นกฎหมายที่นำไปสู่การปฏิบัติ ไม่แน่ใจว่า ต้องการสื่อถึงอะไร แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกันว่า ไม่ว่ากฎหมายลูกจะดีเลิศขนาดไหน ก็ไม่สำคัญไปกว่ากฎหมายแม่ เพราะใครก็ตามจะกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้

หากจะอ้างว่ากฎหมายลูกบอกไว้อย่างนี้ แม้จะขัดกับรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ความผิด นั่นแหละที่ผิดเต็มประตู เพราะถ้ากฎหมายลูกไปแย้งหรือขัดกับกฎหมายแม่ แสดงว่าคนที่เขียนกฎหมายมีปัญหาแล้ว และต้องไปไล่เช็กบิลว่าปล่อยให้กฎหมายแบบนี้มาบังคับใช้ได้อย่างไร หรือที่ท่านผู้นำสื่อสารมานั้นเป็นเพราะยังเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองมีอำนาจพิเศษ ที่สามารถจะสั่งการอะไรก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงรัฐธรรมนูญ ซึ่งมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เว้นจะฉีกรัฐธรรมนูญกันอีกกระทอก

เป็นประเด็นขึ้นมาแต่ไม่น่าจะถูกขุดคุ้ยอะไรไปได้ต่อ กับกรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์สหรัฐอเมริกาดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ในช่วงที่ตัวเองเดินสายแดนมะกันเมื่อวันที่ 12-16 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุที่เป็นเรื่องเพราะมีบางพวกพยายามจะโยงให้เข้ากับกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านพลเอกประยุทธ์ในช่วงที่ปักหลักอยู่ในสหรัฐฯ เพราะถ้าฟังท่านผู้นำและ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อความมั่นใจว่ามีหลักฐานของกลุ่มอยู่เบื้องหลังม็อบต้านในสหรัฐฯ น่าจะหมายถึงเอกสารดังว่านี้หรือไม่

ในความเป็นจริง สิ่งที่เปิดเผยกันมานั้นก็ไม่ใช่เอกสารหลุดแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นความโปร่งใสของสหรัฐฯ เองที่ให้บริษัทซึ่งรับงานในลักษณะเช่นนี้ต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะได้รับรู้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่น่าจะมีอะไรให้ตื่นเต้น เว้นเสียแต่ว่าจะมีการแปลความหมายหรือไปได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสิ่งที่บริษัทซึ่งรับงานจากธนาธรเปิดเผย มากล่าวหาในลักษณะบิดเบือน ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นผลเสียต่อฝ่ายที่ดำเนินการมากกว่าฝ่ายที่ถูกจ้องกระทืบ

มีเสียงเตือนมาดัง ๆ จาก สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำระบอบสนธิ-จำลอง ที่ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” สะกิดเตือนผู้มีอำนาจระวังให้ดีกับการจ้องเล่นงานธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ เพราะยิ่งถูกกระทำมากหรือถึงขั้นไปยุบพรรคดังกล่าว จะกลายเป็นผลดีต่อผู้ถูกกระทำ สร้างคะแนนสงสารมหาศาล เนื่องจากโกตั๊บเคยมีประสบการณ์ตรงในฐานะคู่ต่อกรกับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย ที่สุดท้ายไม่ว่าจะล้มกันกี่รอบก็กลับมาได้ทุกครั้งจากคะแนนสงสาร

ความจริงสิ่งที่สนธิพูดมันก็น่าจะถูกแค่ครึ่งเดียวเกี่ยวกับความสงสาร ความจริงอีกครึ่งนั้นมันเกิดจากผลงานนโยบาย รวมถึงแนวคิดทิศทางที่พรรคของทักษิณนำเสนอและได้ทำให้กับประชาชนในอดีตที่ผ่านมามากกว่า เห็นเด่นชัดเป็นที่สุดก็ 30 บาทรักษาทุกโรค เหล่านี้คือสิ่งที่มีคนเปรียบเปรยว่าเป็นประชาธิปไตยกินได้ สัมผัสได้ ก็อย่างที่มีการขุดคุ้ยกันมานั่นแหละ จุดเริ่มต้นของโครงการ นายแพทย์สงวน นิตยารัมย์พงศ์ ผู้เสนอเคยชงให้อดีตนายกฯ รายหนึ่งแต่ถูกปฏิเสธด้วยข้อกล่าวหาเพ้อฝัน เป็นไปไม่ได้

พอมานำเสนอให้ทักษิณก็รับลูกและเดินหน้ากันอย่างเต็มที่ ดอกผลที่ปรากฏมันจึงงอกเงยมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องที่ท่านผู้นำไปพูดและรับรางวัลบนเวทีสหประชาชาตินั่นก็เรื่องหนึ่ง ที่เห็นและเป็นไปในเวลานี้คือ การขับเคลื่อนโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภายใต้การกำกับดูแลของ อนุทิน ชาญวีรกูล จะเห็นได้ว่า หมอหนู” หนีบเอา “หมอเลี้ยบ” นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มือไม้ทำงานคนสำคัญในยุคทักษิณในโครงการดังกล่าวไปร่วมการประชุมทุกครั้ง

ไม่ใช่เพราะอนุทินต้องการสร้างภาพว่าไม่มีฝักฝ่ายทางการเมืองหรือคิดในมิติทางการเมือง หากแต่เป็นความเชื่อมั่นในตัวของคนที่เป็นผู้ลงมือปฏิบัติที่ย่อมเข้าใจปรัชญา แนวคิดของโครงการได้อย่างลึกซึ้ง แน่นอนการที่จะต่อยอดและทำให้ดีขึ้น คนที่คลุกคลีกับโครงการมาตั้งแต่แรกเริ่มย่อมสามารถชี้แนะ ให้คำปรึกษาได้ตรงจุด ส่วนคำพูดของสนธิที่ยกเอายุคทักษิณมาเปรียบเปรยกับอนาคตใหม่นั้น มีความคล้ายกันแค่บางจุดเท่านั้น

ต้องอย่าลืมเป็นอันขาดว่า อนาคตใหม่และธนาธรมีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจน และไม่ได้เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไหลไปตามกระแส หากแต่เป็นกลุ่มที่มีความรู้ ความคิดในลักษณะหัวก้าวหน้า มองเห็นสภาพปัญหาทางการเมืองและต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คะแนนเสียงที่ได้มาเกือบ 7 ล้านเสียงนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ สิ่งสำคัญเมื่อได้เข้าไปทำงานในสภาจะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่ที่ได้รับเลือกไปนั้นก็ไม่ได้ทำให้กองเชียร์ผิดหวัง

เห็นได้เด่นชัด คนรุ่นใหม่ของอนาคตใหม่มีความแม่นยำหนักแน่นในแง่ของข้อมูล เนื้อหา และการนำเสนอผ่านการอภิปรายเหมือนคนที่จัดเจนเวทีการเมืองมาอย่างยาวนาน นั่นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า บุคคลที่พรรคเลือกให้ประชาชนตัดสินใจนั้นเป็นคนคุณภาพ นี่อาจเป็นการเมืองที่สนธิเห็นว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัว ผิดกับการเมืองของคนที่อ้างว่าต้องการเข้ามาเพื่อปฏิรูปเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงน้ำเน่าและเดินเกมแบบถอยหลังลงคลอง

Back to top button