งัดไม่ขึ้น
*ถ้าวิเคราะห์สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยแบบละเอียด จะเห็นว่าดัชนียังคงวนเวียนไปมาอยู่ที่ระดับ 1,600-1,680 จุด โดยที่หุ้นบลูชิพยังมีอาการเมาหมัด เซื่องซึม หงอยเหงา คลำทางไม่เจอ แรงเทขายกระหน่ำทิ้งอย่างไม่ลดละ ผนวกกับ “กองทุนตัวจี๊ด” กับ “ฝรั่งตาน้ำข้าว” ทำตัวเป็นพวกลิงหลอกเจ้า บอกดัชนีจะไปเท่านั้นเท่านี้ แต่พอเผลอทีไร พี่ท่านกระหน่ำสาดหุ้นไม่เลี้ยง พร้อมกับข้ออ้างเดิม ๆ ต้องการลดความเสี่ยงนะจะบอกให้
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ถ้าวิเคราะห์สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยแบบละเอียด จะเห็นว่าดัชนียังคงวนเวียนไปมาอยู่ที่ระดับ 1,600-1,680 จุด โดยที่หุ้นบลูชิพยังมีอาการเมาหมัด เซื่องซึม หงอยเหงา คลำทางไม่เจอ แรงเทขายกระหน่ำทิ้งอย่างไม่ลดละ ผนวกกับ “กองทุนตัวจี๊ด” กับ “ฝรั่งตาน้ำข้าว” ทำตัวเป็นพวกลิงหลอกเจ้า บอกดัชนีจะไปเท่านั้นเท่านี้ แต่พอเผลอทีไร พี่ท่านกระหน่ำสาดหุ้นไม่เลี้ยง พร้อมกับข้ออ้างเดิม ๆ ต้องการลดความเสี่ยงนะจะบอกให้
*นี่เป็นคำบอกเล่าที่เดี๊ยนฟังจนเอียน และยังต้องเอียนจนอยากจะอ้วก (ไม่ได้แพ้ท้องนะคะ) ต่อไป เพราะคำแก้ตัวลักษณะนี้จะมีออกมาเยอะขึ้น ถ้าเดาเรื่องไม่ผิด คำอธิบายที่บอกถึงการปรับตัวลงของดัชนีมาปิดที่ 1,637.22 จุด ลบไป 6.54 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.36 หมื่นล้านบาท คงเป็นผลสืบเนื่องจากการลุ้นให้เฟดลดดอกเบี้ย เงินทุนจะไหลกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง อะไรประมาณนี้แหละ
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” มองการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เป็นเพียงแค่การแก้ขัดทางอารมณ์ชั่วคราว เพราะมองจากมุมไหน ด้านไหน ก็ยังไม่มีสตอรี่ที่จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้กระชากขึ้นแรง ๆ แม้มุกที่จะเอามาเล่นเป็นเรื่องกำไรไตรมาส 4 จะสวยงามขึ้นกว่าเดิม แต่ดูเหมือนเรื่องดังกล่าวจะมีน้ำหนักที่เบาหวิวยิ่งกว่าปุยนุ่น..ถ้าเข้าใจกิมมิกดังกล่าวจริง ๆ หุ้นควรไปได้ไกลกว่าที่เห็น ณ ตอนนี้นะคะ
*ขนาดน้ำหนักของหุ้นธนาคารที่เด่น ๆ ตกอยู่ที่ KBANK แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับมุดหัวลงลูกเดียว พร้อมกับมีวอลุ่มขายไหลออกมาตลอดเวลา ส่วนแบงก์ KTB วอลุ่มแน่นจนน่าสงสัย แต่ราคากลับไม่เอาอ่าว ขณะที่แบงก์ตราใบโพธิ์ SCB ยังพยายามแสดงความห้าวเป้ง ทั้งที่ชาวบ้านชาวเมืองรับรู้กันทั่วว่า บ่มิไก๊ เช่นเดียวกับหุ้นตราดอกบัว BBL ออกอาการขึ้นไม่ไหว และมีแรงเทขายถล่มออกมาเป็นระลอก ล้วนเป็นเรื่องที่สร้างความรำคาญใจให้กับผู้เล่นไม่หยุดหย่อน จึงต้องแยกแยะประเด็นดังกล่าวให้เข้าใจนะจ๊ะ
*ส่วนที่แยกไม่ออกจริง ๆ “โมนิก้า” ต้องยกให้ BFIT วิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งที่ในช่วง 1 ปี 9 เดือน เกิดอาการเสียรังวัดอย่างรุนแรง (จาก 40 เหลือ 16) แต่เผอิญมีการเล่นข่าวกำไรหลังจากนี้จะโตดับเบิล และมีน้ำหนักความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง หุ้นเลยวิ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ขณะที่วานนี้หุ้นยืนปิดที่ 24 บาท บวกไป 3.60 บาท หรือขึ้นไป 17.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 114 ล้านบาท..บอกได้แค่ว่า ลางเนื้อชอบลางยาเจ้าค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ BJC เป็นที่รับรู้กันโดยแพร่หลายว่า กำไรก็งั้น ๆ ธุรกิจก็งั้น ๆ แต่หุ้นยังพยายามวิ่งขึ้นเป็นระยะ จนสุดท้ายจบลงด้วยการยืนปิดที่ 52.75 บาท ลบไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 882 ล้านบาท “โมนิก้า” จึงต้องตีแผ่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดอีกสักครั้ง แถมช่วงต้นปี 2562 ราคาหุ้นพยายามดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สุดท้ายก็ร่วงผล็อยกลับไปอยู่ที่เดิม เพิ่งจะมีตอนนี้ที่หุ้นยืนเป็นล่ำเป็นสัน แต่เมื่อเหลือบมองค่า P/E 31 เท่า ยังจะกล้าเล่นกันอีกเหรอตัวเอง!
*ตรงกันข้ามกับในรายของ PTG อาจมีรายการหวือหวาเป็นบางครั้งบางคราว แต่มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง “โมนิก้า” เลยไม่วอร์รี่อะไรสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อมองเรื่องรายได้และกำไรในอนาคตใกล้จะเป็นรูปธรรมเต็มแก่ เท่ากับเป็นตัวเร่งให้หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 18.80 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 5.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 580 ล้านบาทอีกครั้งก็เท่านั้นเอง! แถมเรื่องนี้ได้แรงหนุนจากบทวิเคราะห์ที่หลายแห่งเขียนไว้..หุ้นถึงลั้นลาไงล่ะคะ
*เม้าท์ถึงหุ้นร้อนทีไร “โมนิก้า” ชอบดูประเภทดาวรุ่งผีพุ่งไต้ประกอบการบรรยาย และตัวที่โดนใจเดี๊ยนอย่างแรงในรอบนี้ต้องยกให้ UREKA ลักษณะการขึ้นเที่ยวนี้เป็นแบบ “ขึ้นย่อ ขึ้นย่อ” เหมือนเป็นการชั่งน้ำหนักแรงเทขายตลอดเวลา จึงไม่แปลกใจที่หุ้นยกฐานแนวรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตามตำราที่เล่าเรียนมา เขาพูดถึงหุ้นทรงนี้ไว้ว่า sideway up และการปิดที่ระดับ 1.44 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือขึ้นไป 11.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 37 ล้านบาท มันเป็นอะไรที่ต้องดูกันต่อไปว่า จะยืนระยะได้นานแค่ไหนนะจ๊ะ
*ส่วนที่อันตรายสุด ๆ “โมนิก้า” ขอยกให้ SPVI โชว์กำลังภายในด้วยการทะยานขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ตามท้องเรื่องไม่น่าจะทำให้หุ้นมาได้ไกลขนาดนี้ แต่ถ้าดูประวัติเก่าประกอบการเคาะขวาจะเห็นว่า ผลงานในปีนี้น่าจะพอ ๆ กับปีที่แล้ว และราคาหุ้นก็คงวิ่งขึ้นไปเท่ากับปีก่อนที่บริเวณ 2 บาท++ เดี๊ยนถึงมองการขึ้นมาปิดที่ 2.08 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 13% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50 ล้านบาท..มันเป็นไปได้อย่างไร? ลองไปคิดเป็นการบ้านสักหน่อยจ้า!