พาราสาวะถี
ยังคงย้ำประเด็นเดิมสำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าด้วยการใช้กูเกิลของคนไทย ที่เพิ่มเติมคือมีข้อมูลตัวเลขมายืนยันว่าเข้าใจคนไทยส่วนใหญ่ใช้เป็น แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการสื่อคือให้ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะว่าไปไม่จำเป็นที่จะต้องไปกะเกณฑ์หรือสั่งการอะไรให้ประชาชนว่าต้องทำตามอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะความเป็นจริงมีคนที่ได้ประโยชน์จากการใช้สื่อสังคมออนไลน์มหาศาล อยู่ที่รัฐบาลมองเห็นหรือไม่
อรชุน
ยังคงย้ำประเด็นเดิมสำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าด้วยการใช้กูเกิลของคนไทย ที่เพิ่มเติมคือมีข้อมูลตัวเลขมายืนยันว่าเข้าใจคนไทยส่วนใหญ่ใช้เป็น แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการสื่อคือให้ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะว่าไปไม่จำเป็นที่จะต้องไปกะเกณฑ์หรือสั่งการอะไรให้ประชาชนว่าต้องทำตามอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะความเป็นจริงมีคนที่ได้ประโยชน์จากการใช้สื่อสังคมออนไลน์มหาศาล อยู่ที่รัฐบาลมองเห็นหรือไม่
หากจะให้มองอาการที่เป็นบวกกับความพยายามในเรื่องการตั้งศูนย์ปราบปรามข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ เซ็นเตอร์ ก็เป็นเรื่องของความหวาดกลัวในซีกรัฐบาลเองที่เกรงว่าประชาชนจะไปรับข้อมูลที่ผิดเพี้ยนแล้วเกลียดชังหรือไม่เข้าใจการทำงานของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นนิสัยของรัฐบาลเผด็จการที่ทุกอย่างต้องเป็นการสื่อสารทางเดียว กรอกหู ล้างสมองของประชาชน แต่เมื่อลอกคราบมาเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยแล้ว ต้องใจกว้างและปล่อยให้ประชาชนได้คิด วิเคราะห์ และให้คะแนนว่าสิ่งที่ฝ่ายรัฐทำเป็นประโยชน์หรือไม่
ยังไม่จบสำหรับปมเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 นครปฐม สำหรับซีกรัฐบาลที่มองกันว่า การมีคนของสองพรรคร่วมชิงชัยกันเองจะเป็นอุปสรรคต่อชัยชนะที่ต้องการ ขณะเดียวกันก็มองกันว่าพรรคสืบทอดอำนาจพร้อมจะเทคะแนนของตัวเองที่เคยได้ให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ อันจะส่งผลทำให้ชนะผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ได้ นั่นเป็นการคิดคำนวณด้านเดียวแบบเข้าข้างตัวเอง เพราะความเป็นจริงการเลือกตั้งถามว่าใครสามารถจับมือประชาชนให้กาได้ตามใจบ้าง
ขณะที่ชาติไทยพัฒนา วราวุธ ศิลปอาชา ดูมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเที่ยวนี้ “คนบ้านใหญ่” เผดิมชัย สะสมทรัพย์ จะกำชัยได้ ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะสรุปบทเรียนจากความพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญคือเมื่อเป็นการเลือกตั้งแค่เขตเดียว สรรพกำลังของตระกูลใหญ่แห่งเมืองพระปฐมเจดีย์ย่อมถูกระดมมาเพื่อนำพาคนของตัวเองไปยืนอยู่บนบัลลังก์ให้ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงไม่ใช่เฉพาะคู่แข่งจากฝ่ายค้านที่งานหนัก คนจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน
ทางด้านฝ่ายค้านก็มีความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สามพรานโมเดลเป็นจุดตั้งต้นในการคว้าชัยชนะ เพื่อจุดประกายให้ประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่จะต้องมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นที่เขต 7 ขอนแก่น เขต 5 สมุทรปราการและเขต 2 กำแพงเพชร หากเห็นว่าเลือกคนฝ่ายรัฐบาลเข้าสภาแล้ว ปัญหายังไม่ถูกแก้หรือปากท้องยังไม่อิ่ม ก็อาจจะต้องเปลี่ยนข้าง แต่ดูจากพื้นที่แล้วที่แบเบอร์เหนื่อยน้อยก็มีเพียงแค่ขอนแก่นเท่านั้น
เนื่องจากในกรณีเขต 2 สมุทรปราการเนื่องจากส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจถูกใบเหลือง ผู้สมัครชิงชัยจึงน่าจะเป็นชุดเดิมจากการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วนที่เขต 2 เมืองกล้วยไข่ผลจากชัยชนะแบบยกจังหวัดของพรรคเผด็จการสืบทอดอำนาจ จึงเป็นโจทย์ยากสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่จะเจาะฐานเสียงและเปลี่ยนความคิด ขอคะแนนนิยมจากคนในพื้นที่ได้
กลายเป็นว่าประเด็นความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายค้านเดินหน้ากันเต็มสูบด้วยการจัดเวทีสัญจรไปทั่วทุกภาคและหนักหน่วงขึ้นในช่วงปิดสมัยประชุม มีการรุกคืบด้วยการที่ 7 พรรคจะขอเข้าพบท่านผู้นำเพื่อมอบธงในการแก้ไขกฎหมายสูงสุดให้ผู้มีอำนาจสูงสุดรับว่าจะร่วมกันดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ หากยึดคำพูดที่ว่า “ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร” การเข้าพบคงไม่เป็นปัญหา อยู่ที่ว่าภาพที่ออกมาจะหวานชื่นหรือบูดบึ้งนั่นก็อีกเรื่อง
ที่แน่ ๆ หากมองในแง่ของภาคประชาชน โอกาสที่จะเห็นกระบวนการแก้ไขตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ถึง 8 ด่านอรหันต์คงยากที่จะสำเร็จ ดังที่ กษิต ภิรมย์ เจ้าของวลีเด็ดอาหารดี ดนตรีไพเราะคราวร่วมม็อบยึดสนามบิน เห็นสัจธรรมว่าหากใช้ช่องทางที่วางกับดักกันไว้ไม่มีทางที่จะบรรลุเป้าหมาย พร้อมมองทะลุถึงกำพืดของฝ่ายกุมอำนาจที่แม้จะบอกว่าต้องการจะแก้รัฐธรรมนูญเหมือนกัน แต่ท่าทีที่แสดงออกต่อการแก้ไขกลับมีคำว่า ‘จะศึกษา’ ซึ่งเป็นการหลอกประชาชน
เหตุผลของการไม่แก้ตรงไปตรงมา ถ้าพลเอกประยุทธ์ สหายและพรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยมได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมาแก้ไขทำไม ดังนั้นวิธีการต้องเป็นเรื่องของภาคประชาชนนอกรัฐสภา เราก็มาร่วมมือกันยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ พรรคการเมืองใดอยากเป็นประชาธิปไตย 100 เปอร์เซนต์ก็ต้องมาร่วมด้วย ตนไม่เชื่อในการเล่มตามกฎเกณฑ์ในสภา นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้อดีตรัฐมนตรีคนดังไขก๊อกมาจากพรรคเก่าแก่
ดูเหมือนว่าสิ่งที่กษิตพูดนั้น จะเป็นไปในบริบทที่เข้าใจความเป็นไปของพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายกุมอำนาจ โดยเฉพาะพรรคที่ตัวเองเคยสังกัดได้เป็นอย่างดี เพราะวันนี้เสียงของ นิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคเก่าแก่ที่มีหัวโขนเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยด้วยนั้น ก็อ้างเรื่องของนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลและย้ำประเด็นที่ว่าจะมีการศึกษาแนวทางเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว พร้อมกระทบชิ่งไปถึงฝ่ายค้านที่เดินสายสัญจรกันอยู่เวลานี้ด้วยว่า อย่าเล่นเกมการเมืองนอกสภาก็แล้วกัน
ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของใครหลายคน เพราะรู้อยู่แล้วว่า ท่าทีของคนพรรคการเมืองนี้เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่คนจะถามถึงเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันจะต้องออกมาในโทนทางเช่นนี้ แน่นอนว่า การเล่นบทตีกรรเชียงโดยแสดงให้เห็นว่าได้เดินหน้าแก้ไขตามจุดยืนแล้ว แต่เสียงของรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ หากเลือกตั้งใหม่แล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ไปถึงไหน ก็ต้องให้ประชาชนเท่านั้นเป็นผู้พิพากษาว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคเก่าแก่ทำไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ทางซีกส่วนของรัฐบาลยังคงท่องคาถาทุกอย่างยึดตามกฎหมายทั้งท่านผู้นำและ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างสิ่งที่ฝ่ายค้านจะดำเนินการหากเป็นไปตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา โดยผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย้ำว่าไม่มีธงในเรื่องดังกล่าว ส่วนที่บอกกันว่าสังคมเรียกร้อง ต้องบอกให้ได้ว่าเป็นสังคมกลุ่มไหน ประชาชนที่ว่าคือประชาชนกลุ่มใด ถ้าตั้งท่ากันด้วยคำถามแบบนี้ก็พอจะมองเห็นปลายทางกันว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร