BEAUTY กับวิกฤตศรัทธา
นับแต่จดทะเบียนในตลาดราคาหุ้นผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่าง BEAUTY ที่เคยมีค่าพี/อีมากกว่า45 เท่า ขึ้นไปต่อเนื่องนานหลายปีจนทำให้คนในตระกูลไกรภูเบศ กลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านจากการทยอยขายหุ้นหลายครั้ง… จนกระทั่งกลางปีที่ผ่านมาที่ราคาหุ้นดิ่งเหวบาท แต่ปีนี้ล่าสุดราคาต่ำกว่า 2.30 บาท และไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาเหนือ 2.50 บาทอีกเลย เหตุผลสำคัญอธิบายจากมุมของนักวิเคราะห์หลายสำนักว่าเป็นเพราะวิกฤตศรัทธาที่นักลงทุนที่เคยถือหรือติดหุ้นการตลาดความงามอย่าง บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เคยถือมาก่อน
พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล
นับแต่จดทะเบียนในตลาดราคาหุ้นผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่าง BEAUTY ที่เคยมีค่าพี/อีมากกว่า45 เท่า ขึ้นไปต่อเนื่องนานหลายปีจนทำให้คนในตระกูลไกรภูเบศ กลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านจากการทยอยขายหุ้นหลายครั้ง… จนกระทั่งกลางปีที่ผ่านมาที่ราคาหุ้นดิ่งเหวบาท แต่ปีนี้ล่าสุดราคาต่ำกว่า 2.30 บาท และไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาเหนือ 2.50 บาทอีกเลย เหตุผลสำคัญอธิบายจากมุมของนักวิเคราะห์หลายสำนักว่าเป็นเพราะวิกฤตศรัทธาที่นักลงทุนที่เคยถือหรือติดหุ้นการตลาดความงามอย่าง บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เคยถือมาก่อน
เพียงแต่ถ้าพูดจาภาษาของนักลงทุนเน้นคุณค่าอย่างเบนจามิน แกรห์ม คงต้องบอกว่าวิกฤตศรัทธาที่เกินจริงเพราะหากมองจากมุมของปัจจัยพื้นฐานที่เรียกว่า Bottom line จะเห็นได้ว่าเป็นปฏิกิริยาที่เกินจริง
ที่เกินจริงเพราะพิจารณาจากพื้นฐานของตัวเลขกำไรสุทธิยอดขายและรายได้ที่ลดลงฮวบฮาบแต่ลืมคิดถึงความสามารถทำกำไรในรูปอัตรากำไรสุทธิคงเดิมหรือลดลงเพียงเล็กน้อยซึ่งเทียบเคียงกับค่าพี/อีที่ลดลงเหลือเพียงแค่ 11 เท่า
ราคาหุ้นที่ร่วงลงเกิน 90% เทียบกับกำไรสุทธิที่ลดลง 70% แต่ยังมีความสามารถทำกำไรในอัตราสูงต่อไปน่าจะทำให้ประเด็นเรื่องคุณภาพของกำไรบรรเทาลงไปได้
ช่วงเวลาของความหวือหวาของราคาหุ้นอาจจะจบลงและต้องพึ่งพาผลประกอบการขับเคลื่อนราคาเป็นหลัก ความสามารถของผู้บริหารในการพลิกกลยุทธ์เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้ารุกการตลาดดันยอดขายโตเพื่อกลับมาสะท้อนในราคาหุ้นรอบใหม่จำต้องได้รับการพิสูจน์เมื่อเวลาผ่านไป
นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักพากันแนะให้ “ขาย” ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันว่ามีการปรับลดกำไรอย่างมีนัยสำคัญอีกรอบในไตรมาสสองของปีที่แสดงอาการยังไม่ฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี โดยที่ทำกำไรสุทธิเพียง 47 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการ 30%
ที่สำคัญตลาดในประเทศมีการแข่งขันสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มการทำธุรกิจในตลาดต่างประเทศยังย่ำแย่ส่งผลต่อราคาเป้าหมายลดเหลือแค่ต่ำกว่า 2.50 บาท ซึ่งขัดแย้งกับคำอธิบายของนายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่กลายเป็นโฆษกของ BEAUTY แทนหมอสุวิน ไกรภูเบศ ที่หลบไปอยู่หลังฉากหลังจากไม่สามารถสร้างความกระจ่างถึงเหตุผลการขายหุ้นที่เพิ่มทุนและส่วนตัวหลายครั้ง
นายพีระพงษ์ พยายามบอกว่าการพยายามปรับกลยุทธ์ด้วยการประเดิมนำสินค้าเข้าจำหน่าย ณ ร้าน BEAUTY BUFFET 120 สาขาทั่วประเทศโดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็นสินค้าแบรนด์ BEAUTY BUFFET 80% และสินค้าแบรนด์พันธมิตรชั้นนำ (มัลติแบรนด์) 20% และการพลิกโฉมร้าน BEAUTY BUFFET สู่การเป็นร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ที่ครบวงจรทั้งด้านสุขภาพและความงามภายใต้แนวคิด The Kitchen Storage จะเห็นผลไม่นานแต่บังเอิญนักวิเคราะห์มองอีกมุมว่าจะกินเวลายาวนานมาก มุมมองที่ย้อนแย้งกันจึงไม่สามารถกลบวิกฤตศรัทธาที่เกิดจากเรื่องขายหุ้นให้กองทุนและพันธมิตรเพื่อเติมสภาพคล่องจนกระทั่งเมื่อตระกูลไกรภูเบศ ขายหุ้นออกจากมือมากเกิน “ขีดจำกัด” จนส่วนของการถือครองต่ำกว่า 25% ที่มีคนตั้งคำถามถึงอนาคตและกลายเป็นวิกฤตศรัทธาเกิดแรงขายชนิดเทกระจาดทุกราคาต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วทั้งที่ไม่มีข่าวร้ายที่ส่งผลกระทบกับ BEAUTY อย่างชัดเจน
คำถามว่าราคาหุ้น BEAUTY ที่อ่อนแรงลงมาต่ำติดพื้นถึงก้นเหวหรือยังจึงยังไม่มีคำตอบทั้งที่น่าจะถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับพื้นฐานเรื่องคุณภาพทำกำไร
จนกว่าวิกฤตศรัทธาจะจางหรือเลือนไปซึ่งตอบล่วงหน้าได้ยากมาก