พาราสาวะถี
รีบตีกินทันทีว่าชัยชนะของ เผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นเพราะประชาชนไว้วางใจรัฐบาล ต้องการให้ทำงานแก้ไขปัญหาเหมือนที่ทำมากว่า 5 ปี แต่คนของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หรือลิ่วล้อโทรโข่งทั้งหลาย คงลืมไปว่า ก่อนจะสมัครรับเลือกตั้งนั้น ยังต่อว่า แสดงความไม่พอใจพรรคชาติไทยพัฒนาที่บังอาจส่งคนลงสมัคร ทั้งที่พรรคสืบทอดอำนาจประกาศหนุนคนของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้วสุดตัว
อรชุน
รีบตีกินทันทีว่าชัยชนะของ เผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นเพราะประชาชนไว้วางใจรัฐบาล ต้องการให้ทำงานแก้ไขปัญหาเหมือนที่ทำมากว่า 5 ปี แต่คนของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หรือลิ่วล้อโทรโข่งทั้งหลาย คงลืมไปว่า ก่อนจะสมัครรับเลือกตั้งนั้น ยังต่อว่า แสดงความไม่พอใจพรรคชาติไทยพัฒนาที่บังอาจส่งคนลงสมัคร ทั้งที่พรรคสืบทอดอำนาจประกาศหนุนคนของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้วสุดตัว
ตอนนั้นก็พากันเชื่อมั่นว่าผู้สมัครพรรคเก่าแก่ที่เข้าป้ายมาเป็นอันดับ 2 ในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมมีภาษีกว่า บวกกับการจัดการเลือกตั้งในวันพุธกลางสัปดาห์ จึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้กลยุทธ์นำพาคนของพรรคประชาธิปัตย์เบียดแย่งเก้าอี้จากพรรคอนาคตใหม่ได้ ชนิดอ้างเรื่องมารยาททางการเมืองมากระตุกต่อมสำเหนียกผู้บริหารพรรคชาติไทยพัฒนากันเลยทีเดียว ดีที่ว่าทางพรรคปลาไหลยังมั่นใจในคนบ้านใหญ่แห่งนครปฐมจึงเดินหน้าลุยต่อ
ขณะที่คนของพรรคสืบทอดอำนาจที่ลงสมัครในพื้นที่ดังกล่าวอย่าง ระวัง เนตรโพธิ์แก้ว แม้จำใจหลีกทางให้พรรคเก่าแก่ แต่กลับประกาศถือหางและแสดงความเชื่อมั่นว่าเผดิมชัยจะเผด็จศึกการเลือกตั้งซ่อมนี้ได้ จากหลายปัจจัย เพราะคนบ้านใหญ่ได้สรุปบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแล้ว จึงทำการบ้านมาอย่างดี ประกอบกับเป็นการเลือกตั้งซ่อมการทุ่มสรรพกำลังทั้งตระกูลมาช่วยเผดิมชัย จึงทำให้งานง่ายกว่าเดิมเยอะ
ส่วนพรรคอนาคตใหม่นั้น คะแนนที่ได้ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ ประเด็นกำหนดวันเลือกตั้งแบบน่ากังขาของกกต. หรือข้อร้องเรียนอื่น ๆ ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ ยังดีที่ว่าคะแนนรอบนี้ไม่ถูกนำไปคิดส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ใหม่ มิเช่นนั้น พรรคฝ่ายค้านอาจจะเสียเก้าอี้เพิ่ม แต่ด้วยระยะเวลากว่าจะชน 1 ปีที่ไม่ต้องนำคะแนนจากการเลือกตั้งซ่อมเนื่องจากการทุจริตมาคิดปาร์ตี้ลิสต์ใหม่ยังเหลืออีกหลายเดือน เป็นไปได้ว่านครปฐมโมเดลอาจเป็นต้นทางให้เราได้เห็นการเลือกตั้งซ่อมอีกหลายเขตในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำกันตรงนี้ว่าคะแนนที่เผดิมชัยได้รับและชัยชนะของพรรคชาติไทยพัฒนานั้น ขอให้ยอมรับความเป็นจริงกันว่า นี่ไม่ใช่คะแนนนิยมในตัวรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หากแต่เป็นเรื่องของความนิยมส่วนตัว ความไว้วางใจต่อบ้านใหญ่ และอาจเป็นผลพวงจากผลงานที่ร่วมทำมากับพรรคในเครือข่ายระบอบทักษิณอย่างยาวนานกว่าสิบปีที่ผ่านมา อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเหตุผลที่คนตระกูลสะสมทรัพย์ต้องย้ายคอกไปสังกัดพรรคปลาไหลนั้นเพราะอะไร
การถูกบีบให้ต้องกระโจนออกจากเพื่อไทย โดยมีเป้าหมายคือให้ไปสยบยอมต่อพรรคสืบทอดอำนาจ แต่คนตระกูลสะสมทรัพย์รู้ดีว่าคนในพื้นที่มีความประสงค์จะเลือกพรรคไหน ดังนั้น จึงต้องหันไปซบชาติไทยพัฒนาด้วยความจำใจและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานั้น และนั่นส่งผลต่อการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยคนตระกูลสะสมทรัพย์สามารถสอดแทรกเข้ามาเป็นส.ส.ได้เพียงแค่เขตเดียวคือ พาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ จากพื้นที่เขต 2
มีอีกมุมวิเคราะห์จาก สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต.ต่อผลการเลือกตั้งหนนี้ที่น่าสนใจ โดยเห็นว่า นอกจากปัจจัยความนิยมส่วนตัวและตระกูลสะสมทรัพย์แล้ว เสียงจากอดีตผู้สมัครของพรรคสืบทอดอำนาจก็เลือกที่จะเทให้กับผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนาแทนที่จะเป็นประชาธิปัตย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ แน่นอนว่า ประเด็นเช่นนี้จะไปไล่บี้กับใครได้ ในเมื่อพรรคเก่าแก่ผู้อ้างหลักการก็รู้อยู่แก่ใจว่า ใครก็ไม่สามารถไปจับมือประชาชนให้เลือกใครได้
แต่การเลือกตั้งแบบเขตและมีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งนั้น ระบบหัวคะแนนมีความหมายอย่างยิ่งและการเช็กคะแนนจากกระสุนที่ถูกใช้ไปก็ง่ายด้วยเหมือนกัน ดังนั้น การบริหารจัดการคะแนนเพื่อทำให้ตัวแทนจากชาติไทยพัฒนาเข้าวิน พรรคแกนนำรัฐบาลจะปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นด้วยคงยาก และพรรคเก่าแก่เองก็น่าจะรู้ดีว่าตัวเองถูกเบี้ยว ซึ่งสาเหตุของการเบี้ยวนั้นก็วิเคราะห์กันได้ไม่ยาก ล้วนแต่มาจากปัจจัยของความเป็นประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการยื่นเงื่อนไขและการเดินเร่งให้สภาฯ มีการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาหาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าฝ่ายสืบทอดอำนาจไม่ได้มีความประสงค์เช่นนั้น ขณะเดียวกันแกนนำหรือส.ส.ของพรรคหลายรายก็ยังคงแสดงออกในแง่ของการไม่ให้ราคาหรือความยำเกรงต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ด้วยการให้สัมภาษณ์พาดพิงในเชิงลบหลายครั้งหลายหน นี่ย่อมเป็นเหตุให้เรื่องที่เคยรับปากไว้จึงไม่ทำตามสัญญา เพื่อเป็นการสั่งสอนให้รู้ว่าลงเรือเหล็กลำเดียวกันแล้วต้องให้เคารพและให้เกียรติกันบ้าง
เรื่องอคติและความกลัวที่มีต่อพรรคอนาคตใหม่และคนชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สำหรับคนของพรรคสืบทอดอำนาจยังคงมีให้เห็นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับการที่ธนาธรไปนั่งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 โวยวายและยื่นร้องทั้งประธานสภาฯ จนไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ดาหน้าออกมาตั้งแต่ส.ส.ลูกกะจ๊อก ที่ปรึกษากฎหมายรองประธานสภาฯ คนที่ 1 รวมทั้งรองประธานคนดังว่าเอง ด้วยการยกข้ออ้างทางกฎหมายสารพัด
ครั้นไปถาม วิษณุ เครืองาม คำตอบที่ได้ไม่รู้ว่าจะทำให้พวกที่เคลื่อนไหวสำนึกสำเหนียกอะไรหรือไม่ เพราะเนติบริกรประจำรัฐบาลยืนยันว่า กรรมาธิการวิสามัญเป็นได้ทั้งบุคคลภายนอกและส.ส. ในอดีตเคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว มีผู้ถูกสั่งให้พักการปฏิบัติหน้าที่ แล้วมาเป็นกรรมาธิการวิสามัญ รวมถึงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องมารยาท ขณะเดียวกันข้อบังคับของกรรมาธิการวิสามัญก็ระบุไว้ชัด ที่สำคัญคือ “ไม่ต้องไปสงสัย” เมื่อสภาเป็นคนตั้งจะเป็นคนนอกหรือคนในก็ได้ “จึงไม่มีเหตุที่ให้สงสัย”
ที่เด็ดที่สุดคงเป็นคำถามที่ว่าพรรคอนาคตใหม่รู้อยู่แล้วว่าการชงชื่อธนาธรจะเป็นปัญหาแต่ก็ทำเพื่อให้เกิดกระแสสังคม ซึ่งหนนี้วิษณุตอบเสียเอาพวกเดียวกันหน้าหงายว่า คนที่ค้านก็ต้องการให้เป็นประเด็นทางสังคมเหมือนกัน ความจริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรหากไม่ใช้ความกลัวเป็นตัวตั้งและนำอคติมาเป็นตัวกำหนดเกม สำหรับคนบางคนและบางพวก ไม่ต้องทำอะไรแค่ขยับคนส่วนใหญ่ก็เห็นไส้เห็นพุงกันหมดแล้ว