ธรรมชาติลงโทษ

อันที่จริงทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า ตลาดหุ้นไทยคงขยับขึ้นได้ไม่ไกลจากที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่หรอก ? เพราะผลงานที่ทำได้ในช่วงหลังไม่เข้าตากรรมการเลยพับผ่าซิ !


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

* อันที่จริงทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า ตลาดหุ้นไทยคงขยับขึ้นได้ไม่ไกลจากที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่หรอก ? เพราะผลงานที่ทำได้ในช่วงหลังไม่เข้าตากรรมการเลยพับผ่าซิ ! “โมนิก้า” ถึงมักมีอาการโลเลใจทุกครั้งที่เห็นดัชนีทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคนที่ทำให้ดัชนีเดินทางมาไกลกว่าทุกครั้ง มักเกิดจากแรงซื้อของพวกกองทุนตัวจี๊ดเป็นประจำ จึงไม่ไว้ใจพฤติกรรมของนักเล่นกลุ่มนี้ “เดี๋ยวซื้อ เดี๋ยวขาย” นะจะบอกให้

* เนื่องจากสูตรคำนวณความน่าจะเป็นของดัชนีส่วนใหญ่ออกไปในทาง 1,600-1,650 จุดก็รากเลือดสุด ๆ บวกกับนักเล่นส่วนใหญ่มักเผื่อแก๊ปการเล่นบวกลบไว้คร่าว ๆ 10-20% “โมนิก้า” จึงยอมรับการอ่อนตัวของดัชนีในแต่ละรอบอย่างเต็มใจ เพราะการฝืนธรรมชาติต่อไปเรื่อย ๆ ก็คงไม่ต่างจากฟองสบู่ที่รอวันแตกโพละ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเลวร้ายลงจากที่เป็นอยู่ค่อนข้างเยอะนะจ๊ะ

* ฉะนั้นการที่ดัชนีวิ่งขึ้นไปถึงระดับ 1,605.45 จุด แต่สุดท้ายอ่อนตัวลงมายืนปิดที่ 1,591.21 จุด ลบไป 5.27 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.74 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องปกติที่ควรจะเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว เพราะตัวเลขกำไรรวมของทั้งตลาดหุ้นไทยไม่เข้าเป้าเหมือนกับที่ประมาณการไว้ ผสมผสานกับตัวเลขเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว (ตราบใดที่สงครามการค้ายังไม่จบ อย่าหวังจะได้เห็นกำไรบริษัทจดทะเบียนโต) เจ้าค่ะ

* ในเมื่อทางเลือกในการเล่นมีไม่มากเหมือนเมื่อก่อน ปรากฏการณ์โยกหุ้นขนาดใหญ่ไปมาถึงเกิดขึ้นถี่ยิบ เพราะเป็นการลดความเสี่ยงที่พวกกองทุนถนัดมากสุด “โมนิก้า” ถึงอยากให้เข้าใจเหตุผลของการไล่ราคามีหลายอย่างด้วยกัน อาทิเช่น หุ้นราคาต่ำเกินไป หุ้นปันผลยอดเยี่ยม หุ้นเติบโตสูง (คาดหวังกำไรดีขึ้น) หุ้นทนแรงเสียดทานต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่วนเวียนต่อไปเรื่อย ๆ นะคะ

* เหมือนกับแรงกระหน่ำขายใส่หุ้นสุดฮอตอย่าง GPSC แบบไม่ปรานีปราศรัย จนราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 84.25 บาท ลบไป 7.50 บาท หรือลงไป 8.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.52 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของไทม์มิ่งที่ควรแก่เวลาจริง ๆ ผสานกับรูปแบบการเทรดบนค่า P/E 75 เท่าที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้ ก็เหมือนเป็นไฟต์บังคับต้องขายหุ้นทำกำไรออกไปก่อนก็เท่านั้นเอง

* ส่วนในรายของแบงก์สีเขียว KBANK โดนรุมต้อนตั้งแต่เช้าจรดเย็นแบบไม่เห็นหัว “เฮียบัณฑูร” เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้นักเล่นได้รู้ว่า มือการเงินรุ่นลายครามไร้ซึ่งฝีมือแล้วกระมั้ง ! ถึงปล่อยให้แมงลือเม้าท์เรื่องเอ็นพีแอลปูดได้ปูดดีไม่เว้นวัน จนนำไปสู่การเทขายหุ้นทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย จนราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 131 บาท ลบไป 5 บาท หรือลงไป 3.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.85 พันล้านบาท พร้อมกับทำจุดต่ำสุดในรอบ 7 ปี 8 เดือนแบบนี้..เดี๋ยวมีโลว์ใหม่อีกแน่นอนเจ้าค่ะ

* ขนาดหุ้นร้านสะดวกซื้อ CPALL เต็มไปด้วยกองทุนถือหุ้นเยอะแยะ แต่สุดท้ายกลับโดนรินหุ้นออกมาตลอดเวลา จนตอนนี้ลงมายืนปิดที่ 77.75 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 1.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.19 พันล้านบาทอย่างง่ายดาย เท่ากับเป็นการบอกให้ชาวหุ้นรู้ว่า โอกาสที่หุ้นจะวิ่งกลับขึ้นไปหายอดเก่าบริเวณ 90 บาทเป็นครั้งที่ 3 น่าจะไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะองค์ประกอบหลายอย่างไม่เอื้อเอาเสียเลยเจ้าค่ะ

* อีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนเรื่องธรรมชาติลงโทษได้เป็นอย่างดี “โมนิก้า” ขอชี้เป้าไปยังหุ้นปูนใหญ่ SCC เป็นรายถัดไปในทันที เพราะก่อนหน้านี้มีความพยายามประคองหุ้นไม่ให้หลุดบริเวณ 400 บาทหลายรอบด้วยกัน จนหลายคนตีความผิดไปจากที่เป็นอยู่ค่อนข้างมาก แต่ทันทีที่มีข่าวรั่วออกมาเกี่ยวกับกำไรลดฮวบ หุ้นก็ถูกกดลงมาอย่างไม่มีเยื่อใยเป็นเวลาหลายวัน จนวานนี้ยืนปิดที่ 356 บาท ลบไป 3 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.35 พันล้านบาท มันไม่มีความหมายอะไรกับเดี๊ยนอีกแล้ว เพราะรู้ซึ้งในสัจธรรม “คนบัญชามิอาจสู้ฟ้าลิขิต” อิอิอิ

* เม้าท์ถึงหุ้นที่ผลงานแย่ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ย่อมมองไปยังหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่นำโด่งมาด้วย DELTA เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจแมงเม่าให้เห็นผลกระทบที่เกิดจากผู้นำโลกที่บ้าอำนาจ และพร้อมจะหาเรื่องกับทุกประเทศได้ตลอดเวลา มันคือต้นตอที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยกันอย่างถ้วนหน้า เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่เห็นราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 42.50 บาท ลบไป 4.50 บาท หรือลงไป 9.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 65 ล้านบาท เพราะตอนที่ดี ๆ ก็ไม่เคยเห็นหัวแมงเม่ากันอยู่แล้ว พอถึงตอนแย่ ๆ ก็สมควรแล้วที่ไม่มีใครเห็นหัวหุ้นตัวนี้นะจ๊ะ

โมนิก้าและทีมงาน

Back to top button