เล่นหุ้นกลางเล็ก
เทรดหุ้นมองภาพรวมของดัชนีมากไม่ได้
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
เทรดหุ้นมองภาพรวมของดัชนีมากไม่ได้
เพราะเราเล่นหุ้นไม่ได้เล่นดัชนี
ทว่าหากไม่มองเลยก็ไม่ได้เช่นกัน
อย่างตอนนี้หุ้นแทบทั้งกระดานเคลื่อนไหวไปตามภาพรวมที่ดัชนีแกว่งในกรอบแคบเชิงไซด์เวย์ดาวน์
หรือดัชนีมีโอกาสปรับลงมากกว่าขึ้นนั่นแหละ
แนวรับสำคัญในช่วงขณะนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ไว้ที่ระดับ 1,670 จุด
หากหลุดจากระดับดังกล่าวก็จะไปจ๊ะเอ๋กันที่แนวรับถัดไปคือ 1,655-1,650 จุดโน่นเลยล่ะ
เหตุผลเพราะหุ้นขนาดใหญ่ตอนนี้ได้รับปัจจัยเชิงลบทั้งจากในประเทศและต่างประเทศเยอะมาก ๆ
ผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ที่ประกาศออกมาแล้วเช่น SCC หรือปูนใหญ่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากและแนวโน้มหุ้นขนาดใหญ่ไตรมาส 4 นี้ยังไม่เห็นว่าจะกลับเข้าฝั่งได้ตอนไหน
เข้าใจว่าน่าจะเผชิญกับพายุกลางทะเลไปอีกสักพัก
กลุ่มธนาคารพาณิชย์แนวโน้มเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น
นักลงทุนยังหวั่นเรื่องการตั้งสำรองว่าที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอและอาจจะต้องตั้งเพิ่ม
เช่นกรุงไทย KTB “ผยง ศรีวณิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ออกมายอมรับแล้วว่า ไตรมาส 4 อาจต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก
กลุ่มปิโตรเคมีน่าจะรับทราบกันไปแล้วว่ายังเป็นขาลง
หุ้นป๊อปปูล่าร์อย่าง IRPC และ IVL ราคาร่วงลงไปแบบดูไม่จืด (วานนี้เพิ่งดีดตัวขึ้น)
ทำให้ทางออกหรือคำแนะนำจากนักวิเคราะห์คือควรหันไปเล่นหุ้นประเภท Defensive stock ที่มีแรงต้านทานความผันผวนค่อนข้างสูง
แม้ระยะสั้นหุ้นเหล่านี้จะลงไปตามภาวะตลาดบ้าง
แต่พอถึงที่สุดแล้วนักลงทุนจะกลับมาคลิกขวาหุ้นเหล่านี้
หลังจากก่อนหน้านี้พากันเทขาย (ขายหมู) จากการแพนิกจากหุ้นขนาดใหญ่
ผ่านมาถึงสถานการณ์อย่างปัจจุบันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะหันมาเล่นหุ้นขนาดกลางและเล็กกันมากขึ้น
หุ้นขนาดกลางเล็กที่ว่านี้ต้องมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวด้วยนะ
เช่นหุ้นกลุ่ม Domestic play หรืออิงกับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก
หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์พวกเช่าซื้อทั้งหลายนี่ก็อยู่ในข่ายที่ถูกทยอยสะสมเข้าพอร์ตเช่นกันจากดอกเบี้ยที่กำลังอยู่ในภาวะขาลง
ทั้งจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดที่จะประชุมวันที่ 30-31 ต.ค.นี้
มีการฟันธงว่าลดดอกเบี้ย 0.25% แน่นอน
แล้วเช้าวันพฤหัสฯ นี้น่าจะรับทราบกันไปแล้ว
ทีนี้มาถึงคิวของแบงก์ชาติเราบ้าง
จะประชุมกนง.กันวันที่ 6 พ.ย.นี้ก็ถูกฟันธงกันไปแล้วว่า จะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% แน่นอนจากตัวเลขจีดีพีที่ต่ำกว่าคาด (ไอเอ็มเอฟลดเป้าดัชนีลงมาด้วย) และค่าเงินบาทที่แข็งอย่างมาก
และทำท่าจะหลุด 30.00 บาทอีก
ทำให้หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์และเช่าซื้อทั้งหมดจะคึกคักเป็นพิเศษ
เช่น MTC SAWAD KTC AEONTS THANI และยังมีหุ้นตัวอื่น ๆ อีกที่คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลงจากดอกเบี้ยเป็นขาลง
ส่วนกลุ่มปันผลสูง (ผลประกอบการยังดี) ก็เป็นหุ้นที่ถูกแนะนำเข้าซื้อเช่นกัน
กลับมาที่หุ้นขนาดใหญ่
ถูกประเมินว่าในระยะสั้นอาจจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้หรือเดือนธันวาคม
เพราะจะมีเงินจากกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟเข้ามาไล่ซื้อหุ้นเหล่านี้
โดยเฉพาะหุ้นที่ลงมาต่ำกว่าพื้นฐานมากเกินไป
หรือสะท้อนปัจจัยลบไปค่อนข้างมากนั้นแหละ