พาราสาวะถี
วันนี้ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี พรรคประชาชาติ จัดงานครบรอบ 1 ปีการก่อตั้งพรรค พร้อมจัดประชุมสมาชิกพรรค ฉายภาพความสำเร็จทางการเมืองของพรรคและวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา น่าสนใจคือ ปาฐกถาพิเศษของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค ที่คอการเมืองได้เห็นบทบาทในสภาและนอกสภาด้วยวัยขนาดนี้ แต่หัวจิตหัวใจในการต่อต้านเผด็จการและธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
อรชุน
วันนี้ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี พรรคประชาชาติ จัดงานครบรอบ 1 ปีการก่อตั้งพรรค พร้อมจัดประชุมสมาชิกพรรค ฉายภาพความสำเร็จทางการเมืองของพรรคและวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา น่าสนใจคือ ปาฐกถาพิเศษของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค ที่คอการเมืองได้เห็นบทบาทในสภาและนอกสภาด้วยวัยขนาดนี้ แต่หัวจิตหัวใจในการต่อต้านเผด็จการและธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
การยืนบนหลักการที่ถูกต้อง เดินตามครรลองในระบบอาจไม่สามารถล้มเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ในเร็ววันแต่ด้วยความมุ่งมั่น แน่วแน่ที่จะเดินอย่างเด็ดเดี่ยวและท้าทาย ย่อมมีเป้าหมายและสร้างฐานมวลชนให้รู้เท่าทันขบวนการสืบทอดอำนาจ แน่นอนว่า แนวคิดและทิศทางของประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ต่อคณะเผด็จการนั้นได้แสดงผ่านต่อการปฏิเสธรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับคสช.มาแล้ว นี่ย่อมเป็นจุดแข็งที่วันนอร์และคณะใช้เป็นฐานค้ำยันพรรค
ไม่เพียงเท่านั้น งานนี้ยังมีปาฐกถาของ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค ภายใต้หัวข้อ “1 ปีพรรคประชาชาติกับการสถาปนาประชาธิปไตยที่ส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม” แม้จะดูหน้าใหม่ทางการเมือง แต่การคลุกคลีกับคนการเมืองมาอย่างยาวนาน ได้สะท้อนผ่านบทความและการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งแล้วว่า สิ่งที่อดีตเลขาธิการศอ.บต.มองนั้น ไม่ได้ต่างไปจากผู้คนส่วนใหญ่ที่เห็นความเป็นไปของขบวนการสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด
ดูเหมือนจะเป็นงานเล็ก ๆ และไปจัดไกลถึงปัตตานี แต่การเลือกสถานที่นั้น ย่อมมีนัยความหมายทางการเมืองอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงต้องจับตามองกันว่า 1 ปีพรรคประชาชาติจะมีประเด็นอะไรที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจต้องเต้นออกมาตอบโต้หรือไม่ อย่าลืมว่าการแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านพร้อมนักวิชาการรวม 12 คนในข้อหาผิดมาตรา 116 ก็เกิดขึ้นจากเวทีเสวนาแก้รัฐธรรมนูญที่จังหวัดปัตตานีนี่เอง
อีกหนึ่งพรรคการเมืองใหม่ที่ยังคงเกิดปุจฉาอนาคตสดใสเหมือนชื่อพรรคอนาคตใหม่ หรือรอวันมืดดับ สถานการณ์นับตั้งแต่หลังเลือกตั้งถือเป็นตำบลกระสุนตกอย่างแท้จริง จนกระทั่งล่าสุด ปิยบุตร แสงกนกกุล ถึงกับประกาศลั่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง แต่ทั้งคนและพรรคถูกเล่นงานเป็นคดีความถึงกว่า 20 คดี จึงมีคำถามทั้งจากมวลชนที่สนับสนุนที่คนที่ยืนดูด้วยความเป็นห่วงว่า ยังจะคงชูแนวทางการเมืองอย่างที่ทำอยู่ต่อไปหรือไม่
ก็น่าเห็นใจ เพราะหากเปลี่ยนแนว จากที่เป็นทางเลือกใหม่และแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่แตกต่าง อาจจะเบาใจในแง่ของแรงเสียดทานที่ถาโถมเข้ามา แต่แนวร่วมและพลังที่สนับสนุนก็จะหดหายตามไปด้วย เช่นนั้น ต้องแสวงหาความพอดีทางการเมืองคือไม่สุดโต่งจนเกินไป เปิดพื้นที่ให้สมาชิกพรรคได้หายใจหายคอบ้างได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่เพียงผู้เดียว ที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ในสิ่งที่เป็นอยู่
เหตุที่เป็นห่วงเพราะเห็นการเข้าไปพบผู้มีอำนาจของ ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่ เพื่อขอให้ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อย่าตัดงบประมาณสนับสนุนโรงพยาบาลจอมทองอันเป็นพื้นที่ของส.ส.คนดังว่า นี่เป็นภาพสะท้อนของความเป็นจริงทางการเมืองในมิติเดิม ๆ ที่ต้องยอมรับความจริงว่า ถ้าอยากเป็นส.ส.ได้นานไม่ว่าฝ่ายค้านหรือซีกรัฐบาล ต้องหาหนทางในการที่จะดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ตัวเองให้ดีขึ้น
ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ชัดเจนว่า แนวทางของศรีนวลอาจสร้างความหงุดหงิดไม่พอใจต่อแกนนำและแนวร่วมของพรรคอนาคตใหม่จำนวนไม่น้อย แต่คำถามที่ตามมาก็คือเมื่อเห็นความเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า ความเป็นส.ส.จะวางเฉย ปล่อยผ่านอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่วิ่งหางบประมาณเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ในฐานะฝ่ายค้านจะมีแนวทางในการดูแล ช่วยเหลือประชาชนของส.ส.เขตพื้นที่อย่างไร นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คนทำพรรคการเมืองจะยึดมั่นเพียงอุดมการณ์โดยไม่สนใจอย่างอื่นไม่ได้
ขณะเดียวกันความเป็นส.ส.สมัยแรกอาจยังไม่เก๋าพอที่จะรู้ช่องทางการแสวงหาความช่วยเหลือเพื่อพื้นที่ จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารพรรคว่าจะเพิ่มเติมความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดภาพในลักษณะเช่นนี้อีกได้อย่างไร แต่ศรีนวลในฐานะส.ส.หนึ่งเดียวของพรรคในจังหวัดเชียงใหม่ แม้จะมีการโหวตสวนมติพรรคในร่างพ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพล แต่ปิยบุตรก็ยืนยันว่าไม่มีใครกล่าวหาว่าเจ้าตัวเป็นงูเห่าสีส้ม ดังนั้น บทลงโทษหรือการตรวจสอบคงไม่เหมือน กวินนาถ ตาคลีย์ ส.ส.ชลบุรี ที่โหวตสวนร่างพ.ร.บ.งบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กำลังเผชิญปัญหาอันท้าทายและหลากหลายสำหรับพรรคอนาคตใหม่ อีกมุมก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพรรคที่ทำให้ได้เห็นขบวนการของฝ่ายที่จ้องทำลายล้าง เนื่องจากมีการเปิดหน้าเล่นและทำให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอนโดยอ้างกระบวนการตามกฎหมาย โดยปลายทางของการตีความไม่ว่าจะด้วยตัวบุคคลหรือองค์กร วิญญูชนก็รู้กันอยู่แล้วว่าคนและองค์กรเหล่านั้นเป็นกลางและไว้วางใจ น่าเชื่อมากน้อยเพียงใด
ความพยายามในการกำจัดที่ไม่ใช่จำกัดความเคลื่อนไหว เป้าหมายคือหวังกวาดเก็บบรรดาส.ส.หน้าใหม่ทั้งหลายที่จะกลายเป็นผึ้งแตกรังหากมีการยุบพรรคน้องใหม่ไฟแรงแห่งนี้จริง หายใจอีกไม่กี่เฮือกก็จะได้รู้กัน การแสดงออกที่เปลี่ยนไปอย่างน่าสงสัยของคนที่เคยอ้างว่ามีอุดมการณ์เดียวกัน น่าจะเป็นสัญญาณที่ทำให้คู่หูอย่างธนาธร-ปิยบุตร เริ่มรู้แล้วว่าหนทางข้างหน้านั้นเป็นอย่างไร และคงรู้ต่อไปอีกว่าจะต้องรับมือกับเกมการเมืองที่สามานย์อย่างไร
ไร้คำตอบทั้งเรื่องสเปกและตัวบุคคลของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคสืบทอดอำนาจ เมื่อประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันยังไม่ถึงเวลา ถ้าจะส่งใช้เวลาแค่วันเดียวก็ตัดสินใจและเลือกคนได้ แต่คงไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้ เพราะจนป่านนี้ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ ต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นในการตัดสินใจ อ้างแต่เรื่องความพร้อมถึงวันนี้ถามว่ามีใคร พวกไหนที่ไม่พร้อมบ้าง มีแต่ฝ่ายกุมอำนาจนั่นแหละที่กลัวจะแพ้แล้วเสียหน้ากันทั้งประเทศ