วัดใจกองทุน
ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิดบวกแรงเชียว
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิดบวกแรงเชียว
แถมเหนือแนวต้านสำคัญ 1,615 จุด ซะด้วย
ส่องเข้าไปดูกลุ่มนักลงทุนต่าง ๆ แล้วคาดเดาไม่ผิดเลยว่า นักลงทุนสถาบัน (น่าจะเป็นกองทุน) ซื้อสุทธิจริง ๆ ด้วย
วานนี้ซัด หรือซื้อเพิ่มอีกกว่า 4,636 ล้านบาท ส่วนต่างชาติขายตามคาดเช่นกัน 350 ล้านบาท
รายย่อยนั้น หากเห็นหุ้นขึ้นมาแบบนี้ ก็ต้องขายตามระเบียบราว ๆ 4,455 ล้านบาท
ประเด็นที่น่าสนใจคือ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิมาแล้ว 6 วันทำการติดต่อกัน หรือกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท
คำถามว่า จะซื้อต่อเนื่องหรือไม่
วิสัชนา : ยากที่จะคาดเดาได้เช่นกัน
แต่หากดูตามสถิติหลายปีที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่า กองทุนต่าง ๆ จะซื้อสุทธิในเดือนพ.ย. จากเม็ดเงินของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ แอลทีเอฟ
ทว่า การซื้อแบบนี้ อาจจะไม่ได้แน่นอนเสมอไป
เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือปัจจัยบวก และลบในขณะนั้นด้วยว่าเป็นอย่างไร
นับจากต้นปี มาจนถึงวานนี้ (4 พ.ย.) นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพียง 30,456 ล้านบาท
ซื้อ ๆ ขาย ๆ สลับกับนักลงทุนต่างชาติไปแบบนี้มาพักใหญ่ ๆ (ต่างชาติขายสุทธิจากต้นปี 14,425 ล้านบาท )
สะท้อนให้เห็นว่า ยังคงมีความไม่แน่นอนของปัจจัยบวก และลบกับตลาดหุ้นทั่วโลก และรวมถึงของประเทศไทยด้วย
ดังนั้น เราจึงเห็นแรงขายทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนสถาบันออกมาเป็นระยะ ๆ
ในรอบการซื้อสุทธินี้ก็เช่นกัน
ที่ซื้อมาแล้ว 6 วันทำการ หากดูจากต้นปีมา ก็ทำให้หวั่น ๆ ว่า จะมีแรงขาย (ทำกำไร) จากฝั่งกองทุนหรือไม่
ถึงแม้ว่าตามปกติ ในเดือนนี้จะมีเงินจากกองทุนแอลทีเอฟก็ตาม
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ดัชนีที่ระดับ 1620-1625 จุด อาจจะยังไม่เห็นการขายทำกำไรมากนัก
แต่หากดัชนีขึ้นมายังบริเวณ 1,630–1,635 จุด ก็จะต้องระวังกันซักหน่อย
โดยเฉพาะการขายทำกำไรจากหุ้นขนาดใหญ่ที่วิ่งขึ้นมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และปิโตรเคมี รวมถึงหุ้นกลุ่มไฟฟ้าขนาดใหญ่ด้วย
หุ้นที่วิ่งขึ้นมารอบล่าสุดนี้ เกิดจากแรงสะสม หรือทยอยการซื้อหุ้นขนาดใหญ่
ประเด็นหลัก ๆ ที่เข้ามาหนุน จากปัจจัยต่างประเทศ
โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ที่ออกมาแบบสามวันดีสี่วันไข้
คือ แบบจะต้องต้องลุ้นไปวัน ๆ ว่า ผู้นำสหรัฐฯ จะออกมาทวิตเตอร์อะไรเพิ่มเติมหรือไม่ และอย่างไร
ส่วนปัจจัยในประเทศ ตอนนี้ เท่าที่สำรวจดู ก็มีเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามายังหุ้นที่ถูกคาดว่าจะมีกำไรดีนั่นแหละ
หุ้นที่ขึ้นมารอบนี้ จึงถูกมองว่า อาจจะยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก
และอาจจะยังเผชิญกับการขายทำกำไรได้ทุกเมื่อ
บทวิเคราะห์ของหลายโบรกฯ ระบุว่า ยังมีโอกาสที่ดัชนีจะกลับลงไปต่ำกว่า 1,600 จุด อีกครั้งได้
“แนะนำให้ชะลอการลงทุนปรับเพิ่มเงินสดจาก 20% เป็น 30% เพื่อรอให้ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจน ส่วนการเข้าเก็งกำไรช่วงสั้น ควรเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และหุ้นที่ราคาลงมามากรวมถึงหุ้นที่ถูกคาดว่างบการเงินไตรมาส 3 จะออกมาดี”
นี่คือคำแนะนำของ บล.เคทีบี (ประเทศไทย)
มีมุมมองจาก บล.เอเซีย พลัส ด้วย
มีการประเมินตลาดหุ้นเดือนพ.ย.ไม่สดใสจากประเด็น MSCI EM เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน
และเรื่องนี้จะกดดัน “ฟันด์โฟลว์” ชะลอการไหลเข้าหุ้นไทย
พร้อมกับยกสถิติ 10 ปีย้อนหลังพบเงินไหลออกเดือนพ.ย. เฉลี่ยสูง 1.47 หมื่นล้านบาท ขายสุทธิสูงถึง 8 ใน 10 ปี
สรุปแบบง่าย ๆ ต่างชาติน่าจะยังขายต่อไป
ส่วนกองทุนนั้น ยังต้องวัดใจกันดูว่า จะขายสมทบออกมาหรือไม่