พาราสาวะถี
วานนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในพิธีรับเสด็จ ก่อนจะกล่าวถวายการต้อนรับ ในโอกาสเดียวกันนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาได้ประทานพระดำรัส ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งที่ประเทศได้ผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นก้าวสำคัญในการกลับมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย” แม้จะไม่ได้ประทานพระดำรัสในเรื่องนี้ต่อ แต่ตรงนี้เป็นเรื่องที่คนโดยทั่วไปเข้าใจได้ว่า นี่คือวิถีของการปกครองที่เป็นสากลซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับ
อรชุน
วานนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในพิธีรับเสด็จ ก่อนจะกล่าวถวายการต้อนรับ ในโอกาสเดียวกันนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาได้ประทานพระดำรัส ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งที่ประเทศได้ผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นก้าวสำคัญในการกลับมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย” แม้จะไม่ได้ประทานพระดำรัสในเรื่องนี้ต่อ แต่ตรงนี้เป็นเรื่องที่คนโดยทั่วไปเข้าใจได้ว่า นี่คือวิถีของการปกครองที่เป็นสากลซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับ
แม้ว่ากระบวนการทางการเมืองภายในประเทศไทยยังเต็มไปด้วยข้อคำถาม แต่เมื่อมีเลือกตั้งแล้วก็ถือว่ากำลังเดินเข้าสู่ถนนสายประชาธิปไตย เพียงแต่ว่าขั้นตอนหลังจากนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลที่ผ่านมาเลือกตั้งและลากตั้งมาอย่างละครึ่ง คงต้องไปชี้แจงและประเมินท่าทีของนานาประเทศว่า ให้การต้อนรับรัฐบาลสืบทอดอำนาจมากน้อยขนาดไหน มารยาททางการทูตบนเวทีระดับประเทศกับปฏิกิริยาหลังจากพบเจอกันสอดประสานกันหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
บางอย่างมันอาจจะหลอกได้แค่คนไทยด้วยกันบางพวก ที่ดูเหมือนว่าเต็มใจให้หลอกหรือบางครั้งก็ไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำว่า กระบวนการ วิธีการเข้าสู่อำนาจจะเป็นเช่นไร ขอแค่เป็นคนที่ตัวกู พวกกูชื่นชอบและไม่ใช่ฝ่ายที่พวกตัวเองต่อต้านก็รับได้ทั้งนั้น แนวคิดเช่นนี้มันจึงเป็นอันตรายต่อแนวทางสร้างความปรองดองตามข้ออ้างของคณะเผด็จการคสช.ที่เข้ายึดอำนาจ จนป่านนี้กว่า 5 ปียังหาความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติไม่เจอ
ไม่เพียงเท่านั้น จากท่วงทำนองการขับเคลื่อนงานทางการเมืองของพรรคสืบทอดอำนาจ ก็ทำให้เห็นแนวโน้มว่า ความขัดแย้งทางการเมืองคงจะมีโอกาสยุติได้ยาก เพราะคนเหล่านั้นต่างมองเห็นว่า หากไม่รักษาความขัดแย้งไว้ ปล่อยให้ทุกฝ่ายจับมือปรองดองกันได้ พวกตัวเองที่ออกแบบทุกอย่างไว้แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญยังดีไซน์เพื่อพวกเราก็จะอยู่กันลำบาก จะต้องปล่อยให้ฝ่ายครองอำนาจกินรวบประเทศต่อไป ส่วนฝ่ายการเมืองก็ทำหน้าที่รักษาระดับความขัดแย้งให้คงอยู่ต่อไป
จะได้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนั้น ไม่ได้สนใจที่จะตอแยกับการตอดเล็กตอดน้อยของนักการเมืองที่อ้างเป็นฝ่ายปฏิรูป ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดูท่าว่าจะเอาจริงเอาจังอย่างเป็นพิเศษ แต่สุดท้ายจากญัตติด่วนก็ยังคงเป็นญัตติลากยาวไม่รู้ว่าจะได้พิจารณาเมื่อไหร่ และดูท่าว่าจะยืดเยื้อต่อไป เมื่อ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทยเสนอต่อที่ประชุมสภาฯ เพื่อให้เลื่อนญัตติดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาโดยเร็วเนื่องจากเวลาล่วงเลยมานานแล้ว
ปรากฏว่า วิเชียร ชวลิต อดีตปลัดสองกระทรวงที่วันนี้นั่งเป็นหัวขบวนของพรรคสืบทอดอำนาจในสภาได้คัดค้าน ก่อนที่จะมีการโหวตและพรรคฝ่ายค้านก็พ่ายแพ้ไป สาระสำคัญอยู่ที่ ทำไมฝ่ายรัฐบาลที่แต่ละพรรคต่างพากันเสนอญัตติเพื่อให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยขอให้เป็นญัตติด่วนในช่วงก่อนปิดสมัยประชุมที่ผ่านมา จึงไม่แสดงท่าทีกระตือรือร้นให้เกิดคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าวขึ้นมาโดยเร็ว
กลับดึงเกมลากยาวกันมาตั้งแต่ต้นเดือนจนล่วงเลยมาจะสิ้นเดือนและแน่นอนว่าน่าจะยาวไปจนถึงกลางเดือนธันวาคม เผลอ ๆ อาจจะข้ามปีไปเป็นปีหน้าเสียด้วยซ้ำไป แค่นี้ก็น่าจะทำให้เห็นถึงความจริงใจในการอยากแก้ไขแล้วว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ขยับเพื่อให้สอดรับกับความเป็นนโยบายเร่งด่วนข้อที่ 12 ของรัฐบาลเท่านั้น จากนั้นก็ตีกินด้วยวาทกรรมรัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญ
โดยที่จนป่านนี้ประชาชนเองก็ยังมองไม่เห็นทิศทางว่าปากท้องของตัวเองจะอยู่ดีกินดีอย่างไร มีเพียงมาตรการแจกแหลกที่ช่วยได้ประเดี๋ยวประด๋าวหาได้จีรังยั่งยืนไม่ คงพอจะเข้าใจกันได้ในเมื่อคนถืออำนาจใหญ่ไม่ได้มีความต้องการที่จะแก้ ขณะที่ลิ่วล้อที่ได้อานิสงส์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวมไปถึงหลายพรรคการเมืองที่หากเป็นรัฐธรรมนูญเดิมไม่มีทางที่จะได้ส.ส.ไปนั่งหน้าสลอนในสภาหินอ่อน ดังนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้องถามว่าใครต้องการที่จะไปแตะ
จะว่าไปแล้วฝ่ายค้านเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรัดใด ๆ ยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไปเท่าไหร่ มันจะยิ่งเป็นการประจานความไร้สัจจะของฝ่ายที่กุมอำนาจไปเรื่อย ๆ โดยหน้าที่ของฝ่ายค้านเวลานี้คือการจัดเวทีเพื่อรับฟังความเห็นและให้ความรู้กับภาคประชาชน ภาคประชาสังคมเกี่ยวกับผลดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งการรวมตัวจนเกิดเป็นกลุ่มก้อนของภาคประชาชนที่จะช่วยกันผลักดันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ดูน่าจะมีพลังมากกว่าฝ่ายการเมือง
แต่ก็อย่างที่บอกไป ไม่ว่าจะขยับกันแบบไหนถ้าคนที่มีอำนาจเวลานี้ไม่ขยิบตา ไร้เสียงตอบรับจากส.ว.ลากตั้ง ก็ไม่มีทางที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ ดีไม่ดีคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ตั้งกันขึ้นมา ก็จะเป็นเวทีแตกหักและอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองเสียด้วยซ้ำไป เห็นได้จากความพยายามจากซีกพรรคแกนนำรัฐบาลและมือไม้เนติบริกรในรัฐบาลในการดึงบุคคลเข้ามาเป็นกรรมาธิการ ล้วนแล้วแต่เป็นประเภทสายล่อฟ้า มีเบื้องหลังกันทั้งนั้น
ทว่ากระบวนการของสภาจะดำเนินกันไปอย่างไร วันนี้คนชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คงไม่ต้องมาสนใจอีกต่อไป เมื่อไร้หัวโขนความเป็นส.ส.ไปแล้ว การเคลื่อนไหวจากนี้ก็จะเป็นไปในนามของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งคงจะได้แสดงบทบาทการนำภาคประชาชนที่มีแนวคิด อุดมการณ์เดียวกันมากขึ้น เริ่มมีเสียงกระแอมกระไอมาจากฝ่ายที่ดูความมั่นคงแล้วว่า ที่ธนาธรขยับเรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหารนั้นทำได้แต่ขออย่าปลุกม็อบลงถนนก็แล้วกัน
ไม่รู้ว่าทำไมกลัวอะไรกันเบอร์นั้น หรือถนัดแต่สั่งให้คนปิดปาก ด้วยเหตุนี้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่จึงช่วยสะกิดแรง ๆ ว่า เมื่อมีการพูดถึงการชุมนุมคนก็มักจะจดจำภาพความรุนเเรงในอดีต ซึ่งการชุมนุมสาธารณะเป็นเสรีภาพอย่างหนึ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เพราะฉะนั้นประชาชนสามารถชุมนุมอย่างสันติได้ แต่เชื่อได้เลยว่าหากจะมีการก่อม็อบจริงคงจะถูกสารพัดวิชามารเล่นงานอย่างแน่นอน