พาราสาวะถี
ยังวนเวียนอยู่กับคำถามเดิม ๆ และอาจชวนให้เบื่อหน่ายว่า ประเทศไทยก้าวข้ามวังวนความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารของเผด็จการคสช.แล้วหรือไม่ การเข้ามาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้บ้านเมืองสงบสุขอย่างแท้จริงแล้วใช่ไหม หากยึดคำตอบในแง่ของการไร้ม็อบออกมาเคลื่อนไหวตามท้องถนน คนทั่วไปก็คิดเช่นนั้น แต่พิจารณาในมุมของข้อคิด ความเห็นของคนซีกการเมือง หลังเลือกตั้งนับวันยิ่งดูเหมือนว่าความขัดแย้งมันเริ่มก่อรูปขึ้นมาใหม่ ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้มีโอกาสที่มันจะลุกลามต่อไปได้
อรชุน
ยังวนเวียนอยู่กับคำถามเดิม ๆ และอาจชวนให้เบื่อหน่ายว่า ประเทศไทยก้าวข้ามวังวนความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารของเผด็จการคสช.แล้วหรือไม่ การเข้ามาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้บ้านเมืองสงบสุขอย่างแท้จริงแล้วใช่ไหม หากยึดคำตอบในแง่ของการไร้ม็อบออกมาเคลื่อนไหวตามท้องถนน คนทั่วไปก็คิดเช่นนั้น แต่พิจารณาในมุมของข้อคิด ความเห็นของคนซีกการเมือง หลังเลือกตั้งนับวันยิ่งดูเหมือนว่าความขัดแย้งมันเริ่มก่อรูปขึ้นมาใหม่ ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้มีโอกาสที่มันจะลุกลามต่อไปได้
เหตุผลก็คือ ฝ่ายถือครองอำนาจปรองดองแค่ปาก สร้างวาทกรรมที่สวยหรูและสร้างภาพกวาดปัญหาต่าง ๆไว้ใต้พรม โดยที่คนในเครือข่ายยังคงออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีฝ่ายการเมืองตรงข้ามแทบจะรายวัน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองในคราบไคลส.ส. พวกส.ส.สอบตกที่พ่ายแพ้ให้แก่นักการเมืองพรรคที่ตัวเองเกลียดชังจนผุดวลี “ชังชาติ” มาโจมตีเปิดแผลให้พวกที่ตัวเองปราชัยกลายเป็นคนชั่วคนเลวในพริบตา ขณะเดียวกัน พวกลากตั้งสอพลอก็ออกมาสาดโคลนแทบจะรายวันเหมือนกัน
ทั้ง ๆ ที่อ้างย้อนกลับไปดูข้ออ้างของส.ว.ลากตั้งบางรายที่บอกว่า ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะหน้าที่ของสภาสูงคือต้องดูความสงบเรียบร้อยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี แต่นี่อายุรัฐบาลหลังเลือกตั้งยังไม่ถึงครึ่งปียังมีท่าทีกันเช่นนี้ มันจึงเป็นการปรองดองแต่ปากอย่างที่บอก ไม่ต้องพูดถึงการปฏิรูปที่ย้ำมาตลอดว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติใดๆ ด้วยความที่พวกลากตั้งทำตัวเชลียร์กันหนักข้อนี่เอง จึงเกิดปุจฉาที่น่าสนใจว่า จะกินรวบใช้อำนาจเผด็จการกันอย่างเดียวเลยใช่หรือไม่
ประเด็นของส.ว.ลากตั้งชอบวิจารณ์พรรคการเมืองที่ตัวเองและผู้มีอำนาจแต่งตั้งเกลียดขี้หน้า มีคำเตือนมาจาก คารม พลพรกลาง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคอนาคตใหม่ ด้วยท่วงทำนองหนักหน่วงว่า ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากประชาชนไม่สมควรที่จะมาพูดให้ร้ายพรรคการเมือง และไม่ควรเป็นส.ว.เพราะวุฒิภาวะไม่ถึง เป็นได้ก็แค่เพียงผ้าขี้ริ้วเช็ดรองเท้าท็อปบู๊ตของทหารเท่านั้น ในทางการเมืองคนเป็นส.ว.ต้องมีวุฒิภาวะและระมัดระวังคำพูดตลอดเวลา ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะมาให้ร้ายพรรคการเมืองในทุกรูปแบบอย่างที่ทำอยู่
ก็ถูกอย่างที่คารมว่า ถ้าอ้างเหตุผลของเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ให้ส.ว.ลากตั้งมีสิทธิร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปี รวมไปถึงการอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นธรรม เป็นกลางและสามารถที่จะสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับบ้านเมืองได้ ก็ควรที่จะวางเฉยคอยยกมือหนุนค้ำจุนให้รัฐบาลที่ผู้นำเลือกตัวเองเข้ามามีหัวโขนให้อยู่ตลอดรอดฝั่งไปจะดีกว่า ยิ่งออกมาให้ความเห็นทางการเมืองมากเท่าไหร่ มีแต่จะบั่นทอนภาพลักษณ์ของตัวเองและพรรคพวกให้ต่ำเตี่ยเรี่ยดินลงไปเรื่อย ๆ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ส.ว.ลากตั้งนั้นไม่มีความยึดโยงกับประชาชนแม้แต่น้อย ยิ่งได้ฟังข้ออ้างของ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ตีโพยตีพายเรื่องส.ว.ลากตั้งไร้ผลงาน และบอกว่าความจริงมีการจัดกิจกรรมส.ว.พบประชาชนอยู่เป็นประจำ แต่ประชาชนไม่ค่อยทราบเท่านั้น แค่นี้ก็เป็นการประจานไปในตัวแล้วว่า แล้วมันจัดกิจกรรมพบประชาชนกันแบบไหน คนทั่วไปถึงไม่รู้ ความจริงของสถานะมันเป็นอย่างไรคนเขารู้กันอยู่ อย่าได้ไปฝืนหรือสร้างภาพให้ตัวเองดูดีดีกว่า
ขณะที่งานปกป้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแบ่งบทกันเล่นทั้งพวกลากตั้งและส.ส.สารพัดนิสัยทั้งพวกโชว์กร่าง มีปัญหาเรื่องความโปร่งในการครอบครองที่ดิน รวมทั้งคนหัวหมอ อีกด้านงานว่าด้วยการสร้างมวลชน หวังขยายฐานตีที่มั่นสำคัญของพรรคคู่แข่งหลักอย่างเพื่อไทยในพื้นที่อีสานก็เดินเกมกันสารพัดวิธีเหมือนกัน เพราะ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์พรรคสืบทอดอำนาจยอมรับเอง พื้นที่ไหนได้ส.ส.ไม่สำคัญแต่พรรคอยากมีส.ส.ภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้เห็นการออกมาโหมประโคมข่าวของบรรดาแกนนำในพรรคสืบทอดอำนาจ แต่การเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 ขอนแก่น ที่พรรคจะส่ง สมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้สมัครส.ส.รอบที่แล้วที่แพ้ผู้สมัครจากเพื่อไทย นวัธ เตาะเจริญสุข ไป 3 พันกว่าคะแนน มั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถปักธงคว้าชัยในการเลือกตั้งหนนี้อย่างแน่นอน แต่ที่ขอเตือนกันไว้ก่อนและไม่อยากให้คนในพื้นที่หมั่นไส้ก็คือ อย่าได้เที่ยวโพนทะนาว่า ชนะแบบไม่มีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะความเป็นจริงต่างก็รู้กันดีอยู่แล้ว การเมืองทุกยุคทุกสมัยใครก็ตามที่อยู่ในอำนาจย่อมกุมความได้เปรียบทุกรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการใช้กันให้แนบเนียนขนาดไหนเท่านั้น สิ่งสำคัญก็คือองค์กรที่ทำการตรวจสอบด้วย คงต้องยอมรับกันแต่โดยดีว่า นับตั้งแต่ก่อนจะมีการเลือกตั้งเราต่างได้เห็นท่วงทำนองยึกยักจนกระทั่งผลของการมีส.ส.เอื้ออาทร มันเป็นภาพสะท้อนของการพร้อมทำตามบัญชาได้เป็นอย่างดี และผลของบางเรื่องที่เป็นเครื่องยืนยันการเลือกปฏิบัติเลือกที่จะดำเนินการด้วย
จองกฐินไว้แล้ว พรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายในสัปดาห์นี้ โดยล็อกวันซักฟอกกันไว้ที่ 18-20 ธันวาคม แต่เชื่อได้เลยว่าคงไม่ได้คิวตามนั้น เห็นได้จากการพลิกพลิ้วเล่นเกมจนวินาทีสุดท้ายจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติปมถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนที่ผ่านมา การที่เนติบริกรรายล้อมรอบตัว โดยเฉพาะเนติบริกรผู้ปลิ้นปล้อนจนไม่เหลือคราบไคลความเป็นครูบาอาจารย์ที่คนเคยนับถือก่อนหน้า ยิ่งเป็นกุนซือสำคัญในการที่จะสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายค้านได้ตลอดเวลา
โจทย์ที่โฆษกเพื่อไทยอย่าง อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด จั่วหัวไว้ 3 กลุ่มที่จะถูกซักฟอกคือ กลุ่ม 3 ป. กลุ่มใกล้ชิดหรือตัวแทน 3 ป.ในแกนแห่งอำนาจ และกลุ่มมาใหม่ที่พบพิรุธในการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง ก็พอจะมองภาพออกแล้วว่า จะมีใครติดร่างแหกันบ้าง แต่กลุ่มหลังนั้นบางรายอาจจะมีพลิกโผอยู่บ้าง ด้วยปัจจัยสายสัมพันธ์ของหัวหน้าพรรคกับนายใหญ่ ที่ไม่เคยตัดขาดจากกัน แม้ภาพภายนอกจะทำให้คนเห็นและเชื่อว่าเป็นคู่แค้นกันมาก็ตาม
จบไปในชั้นต้นสำหรับคดีของ พานทองแท้ ชินวัตร กับการตกเป็นจำเลยในคดีฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) จำนวน 10 ล้านบาท โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ยกฟ้อง เพราะเห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยมีความผิดตามข้อกล่าวหา งานนี้ทำเอายิ้มออกกันทั้งบ้านแต่ยังต้องไปลุ้นต่อในชั้นอุทธรณ์ ฎีกา ที่แน่ ๆ การปรากฏตัวของลูกโอ๊คพร้อมครอบครัวที่ขาดแต่ ทักษิณ ชินวัตร ก็ทำให้พวกที่โจมตีว่าหนีไปต่างประเทศหุบปากกันเป็นแถว