เดินคนละทาง จนเสียท่า ‘จีน’

ได้ฟัง รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกมายอมรับเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ตอนนี้เหลือกระทรวงการคลังขาเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การออกมาตรการเพื่อดูแลเศรษฐกิจในส่วนอื่นไม่สามารถตอบได้เพราะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบ ให้ไปถามเจ้ากระทรวงแต่ละแห่งที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเอาเอง ก็พอจะเดาออกว่า ในขณะนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังทำงานกันไปคนละทิศคนละทาง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีรายงานจากหอการค้าว่า ประเทศไทยมีโอกาสสูญเสียส่วนแบ่งตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ให้กับจีนใน 5 ปีข้างหน้า


ทายท้าวิชามาร : อดุลย์ มูสิกะ (แทน)

ได้ฟัง รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกมายอมรับเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ตอนนี้เหลือกระทรวงการคลังขาเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การออกมาตรการเพื่อดูแลเศรษฐกิจในส่วนอื่นไม่สามารถตอบได้เพราะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบ ให้ไปถามเจ้ากระทรวงแต่ละแห่งที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเอาเอง ก็พอจะเดาออกว่า ในขณะนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังทำงานกันไปคนละทิศคนละทาง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีรายงานจากหอการค้าว่า ประเทศไทยมีโอกาสสูญเสียส่วนแบ่งตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ให้กับจีนใน 5 ปีข้างหน้า

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลศึกษาภาพรวมการค้าของอาเซียน ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563-2567 สินค้าไทยจะถูกสินค้าจีนแย่งตลาด CLMV และมูลค่าส่งออกไทยในตลาดดังกล่าวจะหายไป 187,795 ล้านบาท หรือ 23.83% ของมูลค่าการส่งออกไทยไป CLMV ซึ่งจะฉุดยอดส่งออกราว 1.81-4 แสนล้านบาท

ในกลุ่ม CLMV จีนมีส่วนแบ่งตลาดในเวียดนามมากที่สุด ตามด้วยลาว เมียนมา และกัมพูชา สำหรับสินค้าไทยที่เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดในเวียดนาม ได้แก่ ด้าย ผ้าทอ ใยสังเคราะห์ กั้งหินและกุ้ง ไม้ แผงไม้ปูพื้น กระเบื้องไม้เหล็กและส่วนประกอบ ข้าวโพด เครื่องหนัง เครื่องใช้สำหรับเดินทาง กระเป๋าถือ ชา กาแฟ และสินค้าอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยง เช่น แผ่นตะกั่ว เปลือกหม้อเก็บไฟฟ้า ผลไม้แห้ง เคมีภัณฑ์ เคมี คอนกรีต น้ำตาล มันสำปะหลัง แบตเตอรี่ ผลิตภัณฑ์จำพวกดอกไม้เพลิง ไม้ขีดไฟ

ขณะที่ในสปป.ลาว แม้ไทยมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด รองมาได้แก่ จีน และ เวียดนาม ตามลำดับ แต่สินค้าที่ไทยมีความเสี่ยงมากที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดลาวให้กับจีนใน 5 ปีข้างหน้า คือ ของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง ยางสังเคราะห์ ยางนอก น้ำตาล ผ้าห่มและผ้าคลุมตัว ดอกไม้เทียม ใบไม้เทียม ผลไม้เทียม พรมและสิ่งทอปูพื้น

ส่วนในเมียนมา สินค้าที่ไทยเสี่ยงจะสูญเสียตลาดได้แก่ เครื่องดื่ม สุรา ซอสและผงสำหรับปรุงอาหาร ผลิตภัณฑ์จากเหล็กหรือเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์ปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง เครื่องแต่งกาย เมล็ดธัญพืช และสินค้าอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมี ยางใน และยางนอกสำหรับรถยนต์ กระดาษและกระดาษแข็ง เครื่องมือ เครื่องใช้ ของใช้ชนิดมีคม ช้อนและส้อม ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากปลา

สำหรับสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดกัมพูชาให้กับจีนใน 5 ปีข้างหน้า คือ น้ำตาล ปูนขาวและซีเมนต์ ผ้าสิ่งทอ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม

นั่นเฉพาะ 4 ตลาดใกล้บ้าน ยังมีเรื่องที่น่าห่วงอีกอย่างหนึ่งคือ การเปิดเสรีภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียน และ 6 ประเทศคู่เจรจา คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อาจทำให้จีนมีบทบาทในอาเซียนมากยิ่งขึ้น และจะเกิดการทะลักของสินค้าจีนราคาถูกเข้าสู่ตลาดสมาชิกมากขึ้นอย่างที่อินเดียกังวล ซึ่งอาจจะทำให้ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดในช่วง 5 ปีข้างหน้า ให้กับจีนเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดไว้อีกกว่า 1 เท่าตัว หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 400,000 ล้านบาท จากที่คาดการณ์ไว้ 187,795 ล้านบาท

ถ้าโอกาสในการส่งออกของไทยมันส่อเค้าที่จะตีบตันลงเช่นนี้ มันน่าจะมีผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมอย่างแน่นอน เห็นทีว่าผู้ประกอบการต้องรีบเตรียมตัวและปรับตัวกันให้ทันเอาเอง เพราะตอนนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเหมือนจะไม่มีเอกภาพ และไม่เข้าขากันเท่าไหร่

อย่างไรก็ดี เมื่อได้ยินว่า รม.คลัง นายอุตตม สาวนายน ออกมาแย้มเมื่อวานนี้ ว่า จะมีมาตรการเพิ่มเติมเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยอีก ก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

ต้องอดทนรอดูกันอีกนิดว่า มาตรการของท่านจะได้ผลและทำให้เศรษฐกิจไทยโตในระดับ 2.6% ในปีนี้ ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ไว้หรือไม่

Back to top button