พาราสาวะถี
ไม่จำเป็นต้องแก้ต่างหรืออธิบายอะไรกับสังคม กับกรณีสภาล่มสองครั้งติดต่อกันตั้งแต่ค่ำวันพุธที่ 27 ต่อเนื่องเช้าวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้านไป 4 เสียง จากการเสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของคสช.และการใช้อำนาจของหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 ที่เสนอโดย ปิยบุตร แสงกนกกุล จากพรรคอนาคตใหม่ และ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย จากประชาธิปัตย์
อรชุน
ไม่จำเป็นต้องแก้ต่างหรืออธิบายอะไรกับสังคม กับกรณีสภาล่มสองครั้งติดต่อกันตั้งแต่ค่ำวันพุธที่ 27 ต่อเนื่องเช้าวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้านไป 4 เสียง จากการเสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของคสช.และการใช้อำนาจของหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 ที่เสนอโดย ปิยบุตร แสงกนกกุล จากพรรคอนาคตใหม่ และ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย จากประชาธิปัตย์
ชัดเจนว่า หลังผลโหวตออกมาทางฝ่ายรัฐบาลก็เสนอให้มีการนับใหม่โดยอ้างข้อบังคับการประชุมที่ 85 ทันที ซึ่งหากอ้างตามสิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะข้อบังคับดังกล่าวระบุไว้ชัดว่า กรณีที่คะแนนโหวตห่างกันไม่ถึง 25 คะแนน สมาชิกสามารถที่จะขอให้มีการนับคะแนนใหม่ได้ แต่สิ่งที่จะดำเนินการกันคือให้มีการขานชื่อลงคะแนนนั้น ในมุมมองของฝ่ายค้านไม่ใช่การนับคะแนนใหม่ แต่เป็นการลงมติใหม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ตั้งแต่คืนวันที่ 27
ความจริงเป็นเรื่องที่น่าแปลก การอ้างถึงข้อบังคับดังกล่าวฝ่ายที่จะใช้ควรเป็นฝ่ายค้านมากกว่า พอรัฐบาลเลือกที่จะใช้ช่องทางแบบนี้ ก็เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และเป็นการตอกย้ำว่าอำนาจเผด็จการที่วันนี้จำแลงแปลงร่างอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว ไม่ยอมรับกระบวนการตรวจสอบใด ๆ ทั้งสิ้น ยิ่งได้ฟัง วิษณุ เครืองาม ให้สัมภาษณ์ล่าสุด ยิ่งเป็นการตอกย้ำการเล่นเกมในสภาของฟากรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
โดยเนติบริกรคนดีของเผด็จการอ้างว่า รัฐบาลไม่ชี้แจงอะไรทั้งนั้น ส.ส.ที่อภิปรายก็บอกว่าไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการแล้ว เพราะคณะกรรมาธิการฯ ที่มีอยู่ 22 คณะ สามารถพิจารณาได้หากเกี่ยวกับคำสั่งฉบับไหน ก็เรียกมาชี้แจงได้อยู่แล้ว อ้างส.ส.ผู้อภิปรายเป็นหลังพิง ซึ่งแท้จริงก็คือคนของเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่นเอง การเล่นเกมการเมืองโดยอ้างประเด็นนี้เพื่อขอนับคะแนนใหม่ มีคำถามตามมาอีกว่า ถ้าต่อไปทุกเรื่องที่การโหวตเสียงห่างกันไม่ถึง 25 คะแนน จะไม่ต้องมีการเสนอให้นับคะแนนกันใหม่ตลอดเวลาหรือ
ไม่ใช่ว่าฝ่ายค้านเล่นเกมการเมือง แต่เรื่องนี้มันอยู่ที่ความรับผิดชอบและสำนึกของฝ่ายรัฐบาล ที่อ้างว่าแม้เสียงจะปริ่มน้ำแต่สามารถบริหารจัดการเสียงได้ แล้วทำไมเรื่องที่สำคัญเช่นนี้คือการปกป้องทุกการกระทำของอำนาจเผด็จการไม่ให้ถูกตรวจสอบ จึงปล่อยให้ฝ่ายตัวเองแพ้โหวตแบบนั้น แทนที่ผู้นำเผด็จการจะไปกล่าวโทษว่านักการเมืองอย่าเล่นเกมกันมากเกินไป น่าจะต้องไปเล่นงานพวกเดียวกันเองเสียมากกว่า ที่ไม่รับผิดชอบงานในหน้าที่
ทั้ง ๆ ที่เนติบริกรก็เปิดช่องให้แล้วว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีสามารถร่วมโหวตได้ ปัญหาเสียงไม่ครบ การแพ้โหวตฝ่ายค้านก็ยิ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น กับการที่ผู้นำเผด็จการอ้างว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลหลายคนติดงานราชการอยู่ และบางคนก็ไปต่างประเทศกับตนทำให้มาโหวตไม่ทัน มันจึงเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น เมื่อรู้อยู่แล้วว่าสภากำลังพิจารณาเรื่องอะไร และกำลังจะมีการลงมติ ท่านผู้นำและลิ่วล้อไม่ทราบเลยหรือว่าต้องให้น้ำหนักในเรื่องใดเป็นพิเศษ
หากแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการชุดดังว่ามาตั้งแต่ต้น ก็ต้องสั่งให้คนที่เป็นส.ส.อย่าไปปฏิบัติงานอย่างอื่น ต้องให้ความสำคัญกับงานในสภา จะไม่ได้ต้องมาขายขี้หน้าหรือถูกครหาว่าแพ้แล้วพาล การกระทำในลักษณะเช่นนี้ยังมีสื่อเอียงข้างที่พยายามจะกล่าวหาว่าฝ่ายค้านเล่นเกมการเมือง ทั้ง ๆ ที่ความจริงคือ ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตแล้วต้องการตีรวนโดยอ้างข้อบังคับการประชุม บางทีหัวหมอมากเกินไปมันก็ใช่ว่าสังคมส่วนใหญ่จะเห็นดีเห็นงามด้วย
มันอาจจะต้องย้อนกลับไปยังเรื่องของการบริหารจัดการภายในวิปรัฐบาล เหมือนอย่างเช่นการกล่าวหาว่า 6 เสียงของส.ส.ประชาธิปัตย์ที่นำโดย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย และ เทพไท เสนพงศ์ เป็นพวกงูเห่าสีฟ้า จนฝั่งเทพไทต้องออกมาแขวะกลับ หากญัตติใดไม่ต้องการให้พวกตนหรือเจ้าของญัตติโหวต วิปต้องมีมติก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ตั้งคณะกรรมาธิการ ไม่ต้องเสนอ ไม่ต้องอภิปรายสนับสนุน มันจะได้ไม่เสียคนและถูกสังคมมองว่าเกิดอาการปีนเกลียวกันในพรรคร่วมรัฐบาล
ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวระหองระแหงกันอยู่ ถูกอย่างที่เทพไทว่าถ้าไม่อยากให้มีการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด ก็ควรจะแจ้งให้พรรคร่วมรัฐบาลรู้กันแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ต้องสะเออะหรือเสือกไปเสนอญัตติใด ๆ แต่ที่น่าจะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่พอใจคงเป็นคำพูดของเพื่อนร่วมรัฐบาลที่ว่า พรรคเก่าแก่ไม่สนับสนุนวิธีการใด ๆ ที่มาจากระบบเผด็จการ ซึ่งเชื่อว่าอำนาจการออกกฎหมายของคณะปฏิวัติไม่สอดคล้องกับแนวความคิดประชาธิปไตย
สิ่งที่แสลงหูแสลงใจเป็นที่สุดคงเป็นคำพูดที่ว่า คนที่มาจากประชาชนจะใช้อำนาจของประชาชนตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ออกมาโดยคณะปฏิวัติ โดยจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ออกมา แต่ก็ยังอุตส่าห์บอกว่าไม่ได้คิดเรื่องเอาคืนหรือล้างแค้นอะไรทั้งสิ้น กระนั้นก็ตาม ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้คิดอย่างที่เทพไทอธิบาย ถึงกับอ้างความเป็นชายชาติทหาร อ้างสัญญาลูกผู้ชายและความเป็นสุภาพบุรุษสำคัญที่สุด
การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลจริง รัฐบาลทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเดียว หรือจะมองอนาคตเฉพาะการเลือกตั้งซึ่งก็ยังมาไม่ถึงตอนนี้ ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที นี่เป็นคำพูดที่กระแทกไปยังพรรคเก่าแก่โดยตรง แต่คงไม่ได้มีแค่พรรคเดียวเพราะการกลับมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ให้ยืดเวลาแบน 2 สารพิษคือพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ออกไป 6 เดือน กับจำกัดการใช้ไกลโพเซต เท่ากับเป็นการตบหน้าพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยไปด้วย
งานนี้ไม่สะเทือนถึงขั้นแตกหัก แต่มันก็จะกลายเป็นความรู้สึกถูกกระทำสะสมจนนำไปสู่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน นั่นชวนให้เกิดคำถามต่อไปว่า พวกเดียวกันทำงานด้วยกันแต่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความมั่นคงมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วความคาดหวังของประชาชนที่อยากเห็นการแก้ปัญหาปากท้องประสบความสำเร็จมันคงเกิดขึ้นได้ยาก กลายเป็นว่า วันนี้การเมืองฝ่ายกุมอำนาจกำลังแก้ปัญหาปากท้องของตัวเองกับพรรคพวกเสียมากกว่า