พาราสาวะถี
วันนี้ห้าโมงครึ่ง แดดร่มลมตก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ นัดพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหาร ที่สโมสรราชพฤกษ์ ถนนวิภาวดีรังสิต เป้าใหญ่เพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่แต่ละพรรคค้างคาใจต่อกัน ความจริงที่ปีนเกลียวเหยียบตาปลากันก็มีแค่พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยเท่านั้น ส่วนพรรคอื่น ๆ ที่เหลือ เมื่อมีพลังไม่มากพอก็ต้องยอมหงออยู่ใต้อาณัติแต่โดยดี
อรชุน
วันนี้ห้าโมงครึ่ง แดดร่มลมตก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ นัดพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหาร ที่สโมสรราชพฤกษ์ ถนนวิภาวดีรังสิต เป้าใหญ่เพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่แต่ละพรรคค้างคาใจต่อกัน ความจริงที่ปีนเกลียวเหยียบตาปลากันก็มีแค่พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยเท่านั้น ส่วนพรรคอื่น ๆ ที่เหลือ เมื่อมีพลังไม่มากพอก็ต้องยอมหงออยู่ใต้อาณัติแต่โดยดี
อ้างว่าไม่ได้นัดหมายเพื่อล้างภาพความระหองระแหงระหว่างกัน แต่มีนัดหมายกันมานานแล้ว เป็นธรรมดาของนิสัยนักการเมือง ที่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ คงต้องหัดเรียนรู้และยอมรับว่า สิ่งที่พ่นออกมาจากปากนั้นไม่มีใครเชื่อหรือถ้ามีก็น้อยเต็มที เห็น ๆ กันอยู่ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าอย่าว่าแต่ผู้อ่อนด้อยทางการเมือง แม้แต่เด็กอมมือยังอ่านรู้ดูออก นี่เป็นความไม่ปกติของพรรคร่วมรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ส่วนจะด้วยเหตุใดสังคมคาดหมายคาดเดากันได้ไม่ยาก
เอาแค่ประเด็นร้อนล่าสุด สภาล่มจากปมฝ่ายถือครองอำนาจไม่ยอมให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศ คำสั่งของคสช.และการใช้อำนาจของหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 คนที่ออกมาตีโพยตีพายอย่าง วิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานวิปรัฐบาล ก็โยนเผือกร้อนไปให้พรรคประชาธิปัตย์ว่า มีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหา พร้อม ๆ กับการถามถึงมารยาทในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ส.ส.ทุกพรรคต้องยึดเอามติวิปรัฐบาลเป็นสำคัญ
งานนี้บรรดาแกนนำและส.ส.คนสำคัญของพรรคเก่าแก่ ต่างออกมาตอบโต้หน้าสลอน ไม่ว่าจะเป็น เทพไท เสนพงศ์ หรือ ราเมศ รัตนะเชวง ที่เห็นว่าประเด็นดังกล่าวจะให้ 6 ส.ส.ของพรรคที่เสนอญัตติและอภิปรายสนับสนุนยกมือค้านตามมติวิปรัฐบาล โดยเป็นการเห็นต่างจากญัตติที่ตัวเองเสนอและไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวเองอภิปรายสนับสนุน ถามว่าคนปกติจะทำกันหรือไม่ ในฐานะพรรคการเมืองที่วันนี้คะแนนนิยมของพรรคกำลังติดลบจะยอมทำเช่นนั้น เพื่อรักษามารยาทในการร่วมรัฐบาลอย่างนั้นหรือ
ไม่ว่าจะมีการวิเคราะห์ผลสะเทือนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร โดยอ้างสิ่งที่ประชาธิปัตย์แสดงจุดยืนอย่างแข็งขันและเหมือนเป็นการตบหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลเช่นนี้ ก็เป็นการให้บทเรียน สั่งสอนเรื่องมารยาททางการเมืองอยู่เหมือนกัน จากการที่พรรคเก่าแก่เสนอชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วไม่ได้รับการตอบสนองจากพรรคแกนนำรัฐบาล มิหนำซ้ำ ยังจะส่งคนมาชิงอีกต่างหาก
การเล่นการเมืองในลักษณะมักมาก เอาแต่ได้ คงไม่ใช่วิสัยที่พึงจะเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ เช่นเดียวกันกับปมที่ประธานวิปรัฐบาลเสนอให้มีการนับคะแนนใหม่ หลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้านต่อการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้มาตรา 44 แล้ว มีข้อกังขาจากสังคมจำนวนไม่น้อยว่า เป็นการกระทำที่พึงปฏิบัติหรือไม่ และหากใช้แนวทางเช่นนี้ก็เชื่อได้ว่าจะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความวุ่นวายในสภาอย่างไม่จบไม่สิ้น
ไม่เพียงแต่ฝ่ายค้านเท่านั้นที่มองว่าสิ่งที่ส.ส.ซีกรัฐบาลกระทำนั้น ดูท่าจะไม่งามแม้จะเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ด้วยการอ้างข้อบังคับการประชุมสภาก็ตาม เช่นเดียวกันกับ เจษฎ์ โทณวณิก อดีตที่ปรึกษากรธ. ที่ออกมาเสนอความเห็นว่า รัฐบาลควรถอนญัตติดังกล่าวออกไป และยึดตามมติที่ได้มีการลงคะแนนไปแล้วให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดดังกล่าว ไม่เช่นนั้นปัญหาจะบานปลายมากขึ้น เพราะจะมีคำถามเกี่ยวกับการนับคะแนนใหม่ที่อาจกลายเป็นการลงคะแนนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ
ในมุมของเจษฎ์เห็นว่า หลักของการนับคะแนนใหม่คือผู้ที่จะขานการลงคะแนนใหม่ตามข้อบังคับประชุมสภาที่ 85 วงเล็บ 2 ได้ จะมีเฉพาะผู้ที่กดบัตรแสดงตนในการลงคะแนนวันนั้นเท่านั้น คนอื่นจะร่วมลงคะแนนไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการลงคะแนนใหม่ อีกทั้งการโหวตครั้งใหม่ก็ต้องออกเสียงเหมือนเดิมจึงจะเรียกว่านับคะแนนใหม่ แต่ถ้ามีการดำเนินการที่แตกต่างไปจากนี้จนกลายเป็นการลงคะแนนใหม่ น่าจะเป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ
แน่นอนว่า ด้วยความหวังดีเจษฎ์ยังมีข้อเสนอตามมาด้วยว่า หากข้อบังคับการประชุมสภาเปิดช่องให้การนับคะแนนใหม่กลายเป็นการลงคะแนนใหม่ ข้อบังคับดังกล่าวก็น่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญ จึงเห็นว่าส.ส.ควรศึกษาเรื่องนี้ให้เกิดความชัดเจนและทำการแก้ไขข้อบังคับเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต ซึ่งมันควรที่จะเป็นเช่นนั้น แต่การจะนำไปสู่การแก้ไขข้อบังคับดังว่า ฝ่ายรัฐบาลจะต้องโชว์สปิริตด้วยการถอนการใช้ข้อบังคับครั้งนี้เสียก่อน
เพราะหากครั้งนี้ยังดันทุรัง ถูลู่ถูกังกันไปด้วยเหตุผลยอมให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ คณะนี้ไม่ได้ จากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวแก้ไขข้อบังคับข้อดังว่าเสียใหม่ ก็เท่ากับจะกลายเป็นความพยายามปิดทางของพรรคฝ่ายค้าน ที่จะไม่ให้ใช้ข้อบังคับนี้กรณีที่มีการโหวตแล้วคะแนนเสียงต่างกันไม่ถึง 25 คะแนนในครั้งต่อ ๆไป ซึ่งจุดนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายค้านเองก็ยืนยันว่า ถ้ายังหลงเหลือความสง่างามอยู่บ้าง ฝ่ายรัฐบาลไม่ควรจะสร้างปัญหาเสียเอง
แต่เชื่อเถอะว่า ประเภทดีไซน์ทุกอย่างมาเพื่อพวกเรา จะไม่ได้สนใจกับเสียงทักท้วงหรือข้อเสนอแนะที่เต็มไปด้วยความหวังดี เพราะพวกที่พากันเชลียร์เผด็จการสืบทอดอำนาจแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น ไม่ได้สนใจใส่ใจว่าสังคมส่วนใหญ่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร มุ่งมั่นเพียงแค่ต้องไม่ให้คนที่เป็นผู้คุ้มกะลาถูกตรวจสอบไม่ว่าจะด้วยทางหนึ่งทางใดก็ตาม หากจะเดินกันแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะให้มีการเลือกตั้งเสียแต่แรก อยู่แบบเผด็จการกันไปนี่แหละ ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถตรวจสอบได้
ขณะที่ตัวผู้นำเองก็ทำเป็นแต่บ้าน้ำลาย พอเข้าใจได้เพราะถนัดทำไอโอมาทั้งชีวิต แต่บรรดาคำพูดทั้งหลายที่พ่นออกมานั้น เมื่อในทางปฏิบัติทำไม่ได้ทุกอย่างก็จบ เหมือนล่าสุดที่อ้าง การเมืองก็เรื่องของการเมือง ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกัน คำถามที่ย้อนกลับไปยังคนที่พูดคือ การให้เกียรติและเคารพระหว่างกันนั้น หมายถึงการที่ผู้มีอำนาจที่ไร้ซึ่งอำนาจพิเศษแล้ว ยอมให้ถูกตรวจสอบตามกระบวนการด้วยหรือไม่ ถ้ายังทำตัวเป็นเทวดาเหมือน 5 ปีที่ผ่านมาก็อย่าไปถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองเลย