ตลาดไร้ภูมิคุ้มกัน
มันน่าเรียกมาหยิกเชียวกับนักวิเคราะห์หุ้นกิตติมศักดิ์อย่างกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าไทย และสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมไทย ที่วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยลงแรง 24 จุด เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า เกิดจากปัจจัยทางการเมือง ที่เริ่มมีการชุมนุมบนท้องถนนกันอีกแล้ว
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
มันน่าเรียกมาหยิกเชียวกับนักวิเคราะห์หุ้นกิตติมศักดิ์อย่างกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าไทย และสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมไทย ที่วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยลงแรง 24 จุด เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า เกิดจากปัจจัยทางการเมือง ที่เริ่มมีการชุมนุมบนท้องถนนกันอีกแล้ว
“ภาคเอกชนไม่ต้องการเห็นความรุนแรง ซึ่งหากมีการชุมนุมจนเลยขอบเขตของกฎหมายกำหนดไว้ ก็จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของไทยมากยิ่งขึ้น” ประธานสภาอุตสาหกรรมกล่าว
ส่วนประธานหอการค้าไทยก็เช่นเดียวกัน “ภาคเอกชนต้องการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายหรือการชุมนุม ต้องการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพบริหารบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว”
เอ้า-เอาเข้าไป ท่านผู้นำภาคเอกชนสำคัญ 2 องค์กรที่สนิทชิดเชื้อแนบแน่นกับรัฐบาล อาจจะคิดล่วงหน้าไปไกลถึงขั้นม็อบอนาคตใหม่จะกลายเป็นม็อบฮ่องกงไปเสียแล้วกระมัง
อันที่จริง เหตุการณ์แบบฮ่องกงคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในประเทศไทยหรอก เพราะประวัติศาสตร์และที่มาที่ไปมันต่างกัน ก็เหมือนพรรคคอมมิวนิสต์ไทย พยายามเลียนแบบการปฏิวัติจีน ซึ่งไม่มีทางสำเร็จแน่นอนนั่นแหละ
การจะปลุกม็อบโค่นล้มรัฐบาลในตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีเงื่อนไขที่สุกงอม ส่วนการจะจัดม็อบชุมนุมยืดเยื้อเหมือนที่ผ่านมา ก็ไม่มีทางจะทำได้หรอก ยิ่งเป็น “ม็อบไม่มีเส้น” ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ก็มีแต่จะโดนปราบล้มตายฟรีเสียเปล่า ๆ
หามีเหตุอันควรไม่!
ตัวปัญหาแท้จริงของตลาดหุ้นไทยเราในเวลานี้ คือ การเป็นตลาดในท่ามกลางเศรษฐกิจซบเซามายาวนานครับ มันก็พอ ๆ กับเพลง “ขอเวลาอีกไม่นาน จะคืนความสุขกลับมา” ตั้งแต่ปี 2557 นั่นแหละ
ตลาดหุ้นต้องยืนด้วยลำแข้งตนเอง โดยปราศจากแรงส่งจากภาคเศรษฐกิจภายนอก
จึงเป็นตลาดที่ค่อนข้างจะเปราะบางต่อ “ข่าวร้าย” และค่อนข้างจะเย็นชาต่อ “ข่าวดี” เนื่องจากความเชื่อมั่นกระท่อนกระแท่น ไม่แน่ใจว่าข่าวดีวันนี้ จะยืนยงคงกระพันเพียงใด ไม่เป็นข่าวร้ายไปเสียก่อนในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วัน กระทั่งอาจจะเป็นเช้าดี-บ่ายร้ายเสียด้วยซ้ำ
ตลาดหุ้นภายใต้เศรษฐกิจที่เติบโตปีละแค่ 3-4% มา 5 ปี มันจะวาดหวังฟ้าสีทองอะไรได้มากมาย ดัชนีตลาดเคยขึ้นไปสูงถึง 1,838 จุดในปี 2561 แต่พอเจอเทรดวอร์ เจอการส่งออกที่ตกต่ำติดลบ ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ และเจอการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่สามารถปลุกเศรษฐกิจฐานรากได้ ดัชนีตลาดก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้
สำหรับในปีนี้ 2562 ตลาดหุ้นออกสตาร์ตช่วงต้นปีที่ 1,563 จุด ดัชนีปัจจุบันก็ยังย่ำอยู่ระดับใกล้เคียงกัน ก็ถือว่าไม่เลวร้ายนัก สำหรับตลาดหุ้นที่พึ่งพาตนเอง ปราศจากแรงส่งจากภายนอก
รูปธรรมแห่งการพึ่งพาตนเองของตลาดหุ้นนั้นก็คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากในตลาดยังคงมีบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการกำไรมากกว่าบริษัทขาดทุน แม้สภาพเศรษฐกิจภายนอกจะเลวร้ายอย่างไร ก็ยังถือว่าเป็นตลาดที่ยังมีศักยภาพการลงทุน
สามารถเข้าทำกำไรและหาผลตอบแทนได้บ้าง
แต่หากเป็นตลาดหุ้น ที่มีดีทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และเศรษฐกิจภายนอกก็เติบโต ย่อมถือเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ตลาดหุ้นนั้นย่อมคึกคักและให้ผลตอบแทนสูงแก่ผู้ลงทุน
โชคไม่ดี! ตลาดหุ้นไทยในรอบ 5 ปีมานี้ พึ่งตัวเองเป็นหลัก นั่นหมายถึงพึ่งพาผลประกอบการบจ.แต่เพียงสถานเดียว ขาดแรงส่งจากเศรษฐกิจภายนอก
รัฐบาลก็พยายามอยู่นะในการปลุกเศรษฐกิจ แต่ผมก็อยากจะบอกตรง ๆ เลยว่า 5 ปีมานี้แก้ไขแบบ “หลงทาง” มาตลอด เงินบาทแข็งค่าเกินไปจนก่ออุปสรรคต่อการส่งออก อัตราดอกเบี้ยก็ควรต้องลดต่ำลงกว่านี้ โครงการ EEC น่ะ แท้จริงประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่กันเชียว การแก้ไขเศรษฐกิจฐานรากและ SME ยังเกาไม่ถูกที่คัน และรัฐบาลก็ปล่อยปละละเลยปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำมากเกินไป
นโยบายแจกดะตลอด 5 ปีมานี้น่ะ มันแค่ “ยาแดง” กระตุ้นเศรษฐกิจได้แบบ “ไฟไหม้ฟาง” เท่านั้น หาใช่จะยึดถือเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่
สำคัญผิดและเดินหลงทางกันมาตลอด 5 ปีแล้ว ประธานสภาอุตฯ และประธานหอฯ ที่เป็นผู้นำภาคเอกชน น่าจะสะกิดเตือนรัฐบาลกันบ้าง
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ยืนอยู่ได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้นจริง ๆ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรง ฉะนั้นการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่าเกณฑ์ปกติ
จึงควรต้องเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอเป็นหลัก และอย่าเล็งผลเลิศกับหุ้นเจริญเติบโต หรือ Growth Stocks ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อมากเกินไป เลือกลงทุนหุ้นที่เห็นจากค่า P/E P/BV และ Yield ของจริงดีกว่า
ยามหุ้นลงแรงๆ ก็อย่าโมเมเอาแต่โทษปัจจัยการเมือง ซึ่งเป็นตรรกะโหลยโท่ยที่สุด