พาราสาวะถี
บรรยากาศการทำงานสัปดาห์นี้น่าจะเป็นการนับถอยหลังเทศกาลหยุดยาวกันแล้ว ดังนั้น หากมองในแง่ภาวะจิตใจหรืออารมณ์ของผู้คนที่ติดตามข่าวสารจึงคงอยากจะเสพข่าวดี ข่าวเบา ๆ มากกว่าข่าวการเมืองที่มีแต่ความขัดแย้งและเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ แต่ก็เป็นธรรมชาติไม่ว่าเทศกาลไหน นักการเมืองไม่เคยหยุดทำงาน ยิ่งช่วงหยุดยาว การเป็นข่าวให้มีพื้นที่ติดตาติดหูประชาชน ยิ่งเป็นไปได้โดยง่าย ล่าสุด พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกเปิดประเด็นร้อนส่งท้าย ยิ่งทำให้สถานการณ์น่าสนใจและต้องติดตามกันไปใหญ่
อรชุน
บรรยากาศการทำงานสัปดาห์นี้น่าจะเป็นการนับถอยหลังเทศกาลหยุดยาวกันแล้ว ดังนั้น หากมองในแง่ภาวะจิตใจหรืออารมณ์ของผู้คนที่ติดตามข่าวสารจึงคงอยากจะเสพข่าวดี ข่าวเบา ๆ มากกว่าข่าวการเมืองที่มีแต่ความขัดแย้งและเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ แต่ก็เป็นธรรมชาติไม่ว่าเทศกาลไหน นักการเมืองไม่เคยหยุดทำงาน ยิ่งช่วงหยุดยาว การเป็นข่าวให้มีพื้นที่ติดตาติดหูประชาชน ยิ่งเป็นไปได้โดยง่าย ล่าสุด พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกเปิดประเด็นร้อนส่งท้าย ยิ่งทำให้สถานการณ์น่าสนใจและต้องติดตามกันไปใหญ่
เพราะผบ.ทบ.พูดถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง โฟกัสไปที่กิจกรรมของกลุ่มคนวิ่งไล่ลุง โดยมองเป็นวิกฤติการณ์ตัวแทนหรือ Proxy crisis แม้จะออกตัวว่าไม่ได้มองเฉพาะเรื่องหนึ่งเรื่องใด โฟกัสคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แต่เป็นการพูดในหลักวิชาการ ซึ่งตัวแทนดังว่านั้นมีในทุกความเคลื่อนไหว แม้แต่ในสถานการณ์รุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่มันยังไม่ถูกยกระดับเป็นสงครามตัวแทนหรือ Proxy War น่าสนใจว่าทำไมบิ๊กแดงจึงเลือกที่จะเปิดประเด็นนี้ในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ธนวัฒน์ วงศ์ชัย แกนนำจัดกิจกรรมดังกล่าว ก็ได้ออกมาตอบโต้ทันควัน อยากจะบอกกลับไปว่า ผบ.ทบ.อย่าเอาตัวของท่านมาเป็นบรรทัดฐานตัดสินคนอื่น เด็กสมัยนี้มีความคิดมากพอที่จะทำหรือไม่ทำอะไร พร้อมกับย้ำว่า ถ้าจะบอกว่ากลุ่มจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงมีคนอยู่เบื้องหลัง ก็ยืนยันว่าเบื้องหลังของพวกตนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นประชาชนที่สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้พวกตนทุกคน
จะเห็นได้ว่ารอบแรกที่เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมผ่านเพจเฟซบุ๊กวิ่งไล่ลุงนั้น มีคนสมัครเต็มจำนวน 8 พันคนแล้ว และกำลังจะเปิดรับสมัครรอบสอง นี่คงเป็นภาพสะท้อนอะไรบางอย่าง แต่ก็อย่างที่ธนวัฒน์ว่าผบ.ทบ.อย่าเอาตัวเองมาเป็นบรรทัดฐาน ตรงนี้คงต้องการจะสื่อถึงว่า ถ้าประชาชนจะตั้งข้อสงสัยหรือมีคำถามว่าผบ.ทบ.เป็นตัวแทนของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในกองทัพใช่หรือไม่ ตรงนี้คงจะห้ามความเชื่อของผู้คนไม่ได้เช่นกัน
ต้องไม่ลืมว่าท่าทีของคนที่แสดงออกนั้น มันบ่งบอกถึงเบื้องลึกเบื้องหลังได้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน การที่พรรคสืบทอดอำนาจมีการส่งชื่อของผู้บริหารสื่อสำนักหนึ่งเข้าไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ถือเป็นตัวแทนที่จะเข้าไปทำให้เกิดวิกฤติในคณะกรรมาธิการชุดนี้หรือไม่ เผลอ ๆ อาจจะเลยเถิดไปเป็นถึงสงครามตัวแทนก็เป็นได้ เพราะรายชื่อที่ปรากฏมาในซีกของรัฐบาลนั้น จำนวนไม่น้อยคือพวกที่แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ความจริงไม่ได้มีแค่เท่านี้ ภาพใหญ่ที่จะอธิบายความเป็นตัวแทนของเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างดี ก็ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงนั่นไง ซึ่งก็รวมถึงผบ.ทบ.ด้วยนั่นแหละ เช่นนี้คือวิกฤติการณ์ตัวแทนหรือไม่ เพราะไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนไม่ว่าด้วยช่องทางใดก็ตาม แต่กลับมีอำนาจในการไปร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จนทำให้เกิดภาวะเสียงปริ่มน้ำในสภาผู้แทนราษฎร เพราะส.ว.ลากตั้งทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้สะดวกโยธิน แต่งานในสภาล่างมันต้องอาศัยเสียงของคนที่ประชาชนเลือกเข้ามา
หากจะบอกตัวแทนโดยเฉพาะภาคการเมืองเป็นตัวสร้างปัญหา บิ๊กแดงคงต้องวิเคราะห์และมองให้ลึกกว่านี้ว่า ตัวแทนจากพวกไหนกันแน่ที่สร้างปัญหา เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต่างคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองได้เป็นผู้นำที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ทำให้ต่างประเทศยอมรับมากขึ้น ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ปรากฏว่าในทางปฏิบัติพวกตัวแทนเผด็จการที่ยังอยู่ในองค์กรที่มีอำนาจ หาได้มีความคิดเป็นประชาธิปไตยไม่
ทั้งที่ความจริงความเคลื่อนไหวว่าด้วยการนัดหมายชุมนุมหรือการทำกิจกรรมใด ๆ ไม่ว่าจะมีชื่อแบบไหนหรือเป้าหมายอย่างไร ก็สมควรที่จะต้องปล่อยให้ว่ากันไปตามความประสงค์ของบุคคลหรือกลุ่มคนเหล่านั้น เนื่องจากประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ใด ๆ ส่วนใครที่ไปดำเนินการอันเป็นการละเมิดหรือทำผิดกฎหมาย ค่อยใช้กฎ กติกาที่มีอยู่ไปจัดการ ไม่ใช่การดิสเครดิตหรือกล่าวหาทั้งที่ยังไม่ได้เห็นว่าคนเหล่านั้นทำกิจกรรมอะไรและเพื่ออะไร
ยิ่งออกอาการมาก มันก็ยิ่งทำให้เห็นถึงคราบไคลของเผด็จการที่ติดตัวมา เนื่องจากไม่ยอมรับการตรวจสอบใด ๆ ไม่เพียงเท่านั้น การนัดหมายแกนนำหรือส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลพบปะสังสรรค์กันบ่อยครั้งมากเท่าไหร่ ภาพความครื้นเครง สนุกสนานที่ปรากฏผ่านสื่อ มันหาใช่เป็นการช่วยทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำมีเสถียรภาพแต่อย่างใด ในทางกลับกันกลับมองว่ามีปัญหา รอยปริแยกเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงต้องนัดกระชับความสัมพันธ์และละลายพฤติกรรมกันถี่ยิบ
อีกด้านยิ่งสร้างบรรยากาศให้ชื่นมื่นรื่นเริงมากเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ที่กำลังประสบปัญหาปากท้องอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นหนทางว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจจะมีปัญญาแก้ไขอย่างไร ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและพวกพ้องสนแต่เสถียรภาพในอำนาจของตัวเองและพรรคพวกเท่านั้น และมันยิ่งตอกย้ำภาพของความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุกจนกระจาย หนักเข้าไปอีก ต้องคิดให้รอบคอบขณะที่อีกด้านกำลังสุขสุดๆ แต่มีคนจำนวนมากก็กำลังทุกข์แสนสาหัสอยู่เหมือนกัน
การเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 ขอนแก่นไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร สิ่งหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดคือความไม่โปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกาให้บางพรรคการเมือง ไม่ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบยืนคุมเชิงดูประชาชนกาบัตรลงคะแนน ที่หนักข้อไปกว่านั้นคือโต๊ะทำงานของกกต.ที่ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่มีธงของผู้สมัครบางพรรคการเมืองปักไว้หรา เป็นหน้าที่ของกกต.กลางที่จะต้องสะสางเรื่องเหล่านี้ แต่พอดูจากสิ่งที่มีการกระทำกันแล้ว เชื่อได้เลยว่า สุดท้ายจะไม่มีอะไรในกอไผ่ ยุคแห่งอภินิหารกฎหมายต้องด้านเท่านั้นจึงจะอยู่รอด