พาราสาวะถี
เป็นธรรมดาของคนตั้งใจทำงานแต่การยอมรับจากพวกในพรรคยังไม่ดีขึ้น จึงเกิดอาการน้อยใจ ข่าว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้คนเก็บของออกจากห้องทำงานภายในพรรคนั้น อาจเป็นสัญญาณบางอย่างแต่คงไม่ถึงขั้นที่จะโบกมือลากันเลยทีเดียว ตามที่แหล่งข่าวใกล้ชิดบอก แค่ขนย้ายของบางส่วนปรับห้องทำงานรับปีใหม่ แต่ที่ยอมรับคือผิดหวังต่อท่าทีของแกนนำบางคนที่คอย “เตะตัดขา” กันอยู่ตลอดเวลา
อรชุน
เป็นธรรมดาของคนตั้งใจทำงานแต่การยอมรับจากพวกในพรรคยังไม่ดีขึ้น จึงเกิดอาการน้อยใจ ข่าว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้คนเก็บของออกจากห้องทำงานภายในพรรคนั้น อาจเป็นสัญญาณบางอย่างแต่คงไม่ถึงขั้นที่จะโบกมือลากันเลยทีเดียว ตามที่แหล่งข่าวใกล้ชิดบอก แค่ขนย้ายของบางส่วนปรับห้องทำงานรับปีใหม่ แต่ที่ยอมรับคือผิดหวังต่อท่าทีของแกนนำบางคนที่คอย “เตะตัดขา” กันอยู่ตลอดเวลา
เป็นปัญหาที่รกเรื้อกันมายาวนานนับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยแล้ว เรื่องการแบ่งก๊กแบ่งพวก ซึ่งถือเป็นธรรมดาของพรรคการเมืองใหญ่ จนกระทั่งมาถึงยุคเพื่อไทยที่เส้นทางหลังการรัฐประหารของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้วจะต้องเตรียมพร้อมไปเป็นฝ่ายค้านแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ เจ๊ใหญ่แห่งกทม.ก็พยายามจะแสดงบทบาทนำเพื่อให้ทุกคนยอมรับ จนกระทั่งเกิดข่าวก่อนเลือกตั้งว่าเจ๊จะได้ขึ้นชั้นนั่งเป็นหัวหน้าพรรคสู้ศึก
สุดท้ายก็หนีปัญหาความขัดแย้งที่คุกรุ่นกันมาต่อเนื่องยาวนานไม่พ้น หากคนแดนไกลตัดสินใจดันเจ๊เป็นหัวหน้าพรรคเวลานั้น จะเข้าทางพลังดูดที่กำลังรุนแรงโดยทำให้ส.ส.ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตัดสินใจกันง่ายขึ้น จนกระทั่งต้องเปลี่ยนความคิดให้ พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ พร้อมด้วย ภูมิธรรม เวชยชัย นั่งเป็นหัวหน้าและเลขาธิการพรรคต่อจนเสร็จเลือกตั้ง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องด้วยเงื่อนไขทางข้อกฎหมายที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นส.ส
ทำให้ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ได้รับความไว้วางใจมากุมบังเหียนพรรค โดยเจ๊ใหญ่ขยับไปนั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค มีคนใกล้ชิดที่รู้ใจอย่าง นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ มาเป็นแม่บ้านพรรคนายใหญ่ ถือเป็นการปลอบประโลมความผิดหวังของเจ๊ได้ โดยมีการมอบหมายภารกิจในการเป็นแกนหลักสำหรับการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนที่ความจริงน่าจะเน้นในกทม.เป็นด้านหลัก แต่ระยะหลังเจ๊ลุยพื้นที่อีสานเป็นส่วนใหญ่
ที่เห็นเด่นชัดคือการลุยสู้ศึกเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 ขอนแก่น สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกลไกของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ซึ่งนั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เจ๊ถอดใจ หากแต่ปัจจัยหลักมันอยู่ที่ยังคงมีพวกเตะตัดขาคอยรายงานให้คนแดนไกลเข้าใจผิดอยู่เป็นระยะ ประกอบกับการตัดสินใจตั้ง ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง มานั่งเป็นประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษของพรรค เหมือนเป็นการตบหน้าทีมงานยุทธศาสตร์พรรคฉาดใหญ่ เพราะได้เตรียมการเรื่องศึกซักฟอกมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อสารวัตรเหลิมเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ นั่นย่อมหมายความว่าเป็นการลดบทบาทในเรื่องนี้ของเจ๊ใหญ่กทม.ไปในตัว ถ้าจำกันได้ก่อนหน้านั้นมีการพูดเรื่องวันเวลาที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายจะต้องถูกซักฟอกจากประธานยุทธศาสตร์ของพรรค แต่ก็เจอโรคเลื่อนทำให้เจ้าตัวเสียหน้าไม่ใช่น้อย และเริ่มเห็นรอยปริแยกกันบ้างแล้ว จนกระทั่งการตั้งผู้ยิ่งใหญ่แห่งบางบอนเข้ามา นั่นทำให้ความเบื่อหน่ายมาเยือนเจ๊ในทันทีทันใด
ด้วยมองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นนี่กระมัง ระดับนำของพรรคจึงเกิดแบ่งงานให้ทำระหว่างสารวัตรเหลิมกับเจ๊ใหญ่ดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมซักฟอก โดยทีมกิจการพิเศษให้ดูแลเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล ส่วนคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคดูแลเรื่องความล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในภาพรวม ทั้งเรื่องเรื่องความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ การทุจริตเชิงนโยบายและผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งถือเป็นงานถนัดของกลุ่มกทม.ของพรรค
อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดภาพของการทำงานในลักษณะให้เกียรติหรือถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างสองคณะทำงานดังกล่าว แต่จากความไม่ลงรอยกันที่เกิดขึ้นมายาวนาน ทำให้ไม่อาจจะประสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ ด้วยภาพเช่นนี้ประกอบกับข่าวที่ปรากฏอยู่เวลานี้ ทำให้ฝ่ายสืบทอดอำนาจเกิดการกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะมองเห็นช่องที่จะเจาะฐานข้อมูล ล้วงความลับในการเตรียมการของฝ่ายค้านเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ง่ายขึ้น
สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นทุกครั้งสำหรับพรรคนายใหญ่คือการรักษาความลับ ซึ่งจะว่าไปแล้วน่าจะเป็นปัญหาสำหรับทุกพรรค เนื่องจากมีพวกขายข้อมูลฝังตัวอยู่แทบทุกพรรค ยิ่งมีชั้นความลับมากเท่าไหร่ผลตอบแทนก็จะมากตามไปด้วยเท่านั้น การซักฟอกหนนี้จึงจะเป็นบทพิสูจน์อีกหนว่าการโพนทะนาของกระบอกเสียงพรรคก่อนหน้าที่ว่ามีข้อมูล หลักฐานเด็ดถึงขั้นน็อกฝ่ายรัฐบาลคาสภาได้นั้น จะเป็นแค่ราคาคุยหรือไม่ หากดูจากท่าทีของฝ่ายถูกซักฟอกก็พอจะคาดเดาได้
ขณะที่ฝ่ายค้านสาละวนกับการเตรียมความพร้อมเรื่องซักฟอก ฟากรัฐบาลโดยเฉพาะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ดูเป็นกังวลกับกลุ่มจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงอยู่ไม่น้อย จะเห็นได้ว่าช่วงนี้ปฏิบัติการข่าวสารว่าด้วยเรื่องการยุติความขัดแย้ง เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสามัคคีกันอย่างถี่ยิบ ทั้งที่ความจริงประเด็นการสร้างความปรองดองนั้นมันควรจะจบไปกับการหมดอายุขัยของคสช.แล้ว เพราะข้ออ้างสำคัญของการยึดอำนาจคือเข้ามาทำให้คนในชาติเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจ เราแทบจะไม่ได้เห็นการเอาจริงเอาจังในเรื่องดังกล่าวแม้แต่น้อย มีแค่การใช้มาสคอตที่อ้างว่าจะนำมาเป็นตัวเชื่อมสร้างความปรองดอง ประชาสัมพันธ์กันวูบวาบแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆ โดยที่อีกด้านก็ไล่ดำเนินคดี ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะจัดการกับฝ่ายที่เห็นต่าง ซึ่งไม่ใช่วิถีของการที่จะทำให้คนรักและสามัคคีกันได้ เนื่องจากไม่ยอมให้คนที่เห็นต่างได้แลกเปลี่ยนกันอย่างมีเหตุมีผล จนถูกมองว่ามีความพยายามรักษาความขัดแย้งไว้เพื่อความมั่นคงในอำนาจของตัวเองนั่นเอง
การให้สัมภาษณ์แบบติดดาบ การพูดบนเวทีโดยที่ไม่สนใจว่างานที่ขึ้นไปพูดนั้นเนื้อหาเป็นอย่างไร ต้องใส่สิ่งที่ตัวเองจากปลุกระดมและสร้างความเชื่อทุกครั้ง สะท้อนให้เห็นภาวะการไม่ยอมรับความจริง การไม่ยอมฟังความเห็นต่าง การไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายต่อต้านได้ดำเนินกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ เมื่อเลือกที่จะใช้วิธีวิถีแบบเผด็จการ ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันจึงเป็นบทพิสูจน์ที่ว่าการบริหารประเทศไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเคยพ่นน้ำลายและเข้าใจผิดอย่างแรงมาก่อนหน้านี้